Day6 นาข้าวคาซู่ นาขั้นบันได และวัดพุทธ

ที่บ้านก่วงม้าเราไม่ต้องออกแต่เช้ามึดเพื่อไปทำงาน ออกแค่ 7 โมงก็ได้

วันนี้เราก็ออก 7โมง คาซู่น้องชายของก่วงม้าพามาที่แปลงของเขาที่ไม่ได้อยู่บนดอย เราเลยได้ลงจากเขาแป้บนึง

เรานั่งตรงกระบะหลังเหมือนเดิม เห็นจากสภาพรถและอุปกรณ์ ก็รู้เลยว่าวันนี้เราไปใส่ปุ๋ยกัน เพราะเหมือนกับวันแรกที่หมินจงพาไป

IMG_9526

นัั่งมองวิวทิวทัศน์ข้างรถ แบบไม่มีกระจกกั้น สวยเหมือนภาพวาดเลย

IMG_9525

นั่งรถลงมาจากเขา ถึงเมืองFuli สังเกตได้ง่ายมาก คือเจอเซเว่น เมืองนี้มีเซเว่นที่เดียว คือเวลานัดกัน สามารถพูดแค่ว่าเจอกันเซเว่นได้ ไม่ต้องบอกสาขานะ เพราะมีที่เดียว

คาซู่พาไปกินอาหารเช้าในตัวเมือง เป็นแป้งโรตีทอดใส่ไข่ มีชานมคนละแก้ว ส่วนใหญ่ตามร้านอาหารจะมีชานมใส่แก้วกระดาษ ซีลด้วยพลาสติกด้านบน แช่ไว้ในตู้เย็นให้หยิบได้เอง ที่นี่ก็มีเหมือนกัน ดีใจที่มีหน่ายชา ไม่ต้องเจิงจูก็ได้

IMG_9509

กินเสร็จเจอก่วงม๊า บอกว่าจะนั่งรถไฟไปฮวาเหลียน เราก็ตกใจนึกว่าเราต้องร่ำลาก่วงม๊าตรงนี้แล้วหรอเนี่ย เพราะเดี๋ยวบ่ายๆเราก็ต้องเก็บกระเป๋าออกมาจากบ้านแล้ว

แต่ก่วงม๊าเข้าใจสีหน้าใจหายของเรา เลยบอกผ่านGoogleว่า”เรายังได้เจอกันอีกในวันเสาร์”

อ่อ วันเสาร์จะได้เจอหรอ เราก็ยังคงไม่รู้กำหนดการตัวเองอยู่ดี แต่ทุกคนที่นี่รู้หมด ฮ่าๆๆ

คาซู่แวะซื้อปุ๋ย12กระสอบ ใส่มาบนกระบะ ซื้อเสร็จเราเลยได้นั่งบนกระสอบปุ๋ย

หน้าร้านปุ๋ยก็มีนาขาว ข้าวงามมากก มากกว่าที่ใดในเมือง คือใครเห็นข้าวตรงนี้งามก็อาจจะรีบซื้อปุ๋ยร้านนี้เลย

9

วิวข้างทางสวย นั่งไกลแต่ไม่เบื่อเลย

แปลงของคาซู่อยู่ไกล เราว่ามันออกจากเมือง Fuliมาแล้วนะเนี่ย มีเวลาชมวิวเยอะเลย ชัยร้องเพลง ส่วนเรานั่งทวนศัพท์ที่ได้มาจากพูดคุยเมื่อคืน

มิมิเงิน….ใช้เวลาชนแก้วกัน แทนที่จะพูดว่า หมดแก้ว! ก็พูดว่ามิมิเงิน แล้วก็จิบๆเอานะ ไม่ต้องกระดก เราเลยเดาว่าแปลว่า นิดหน่อยยย

IMG_9504

แดดที่นาข้าวของคาซู่ก็ร้อนได้โล่เลย  แต่มีหลังคารถบังแดด บังได้ดีทีเดียว ถ้ามีรถกระบะก็อยากสร้างหลังคาแบบนี้บ้าง

แปลงนี้ไม่ใช่ออแกนิกแบบบนเขา มิน่าหล่ะถึงออกมาห่างไกลขนาดนี้ ที่ไต้หวันเค้าแบ่งโซนออแกนิกและไม่ออแกนิกได้อย่างชัดเจนมาก

แม้คาซู่จะพูดอังกฤษกับเราไม่ได้ แต่ชวนพวกเรามาทำได้ คุยกันด้วยภาษามือ

11

เราช่วยกรอกปุ๋ยใส่เครื่องโรยปุ๋ย ชัยถอนหญ้าและโรยปุ๋ยนิดหน่อย ส่วนเปิ้ลปวดท้อง ห้าซีดนั่งทรมานอยู่ในรถ

12

วันนี้งานสบายสุดๆ แค่กรอกปุ๋ย ยากสุดก็ตรงที่ต้องขยับกระสอบปุ๋ยไปมานี่แหละ เพราะมันหนัก

หมดไป 8กระสอบ คาซู่บอกว่าพอแล้ว แล้วให้ชัยไปช่วยขุดหน่อไม้แถวนั้นไปทำข้าวเที่ยง

13

ตอนนั่งรถกลับ เปิ้ลอ้วก 2ที ระหว่างทาง ตอนจะอ้วกก็หันไปหยิบถุงบ้วนหมากของคาซู่มา คาซู่ไม่ยอมให้ถุง แต่จอดรถให้เลย เปิ้ลก็อ้วกเลย คาซู่คงตกใจไม่น้อย ถึงขั้นโทรหาลัมลู ให้มาช่วยคุยกับพวกเราว่าจะยังไง ไปหาหมอมั้ย แต่เปิ้ลบอกว่าไม่เป็นไร แค่นอนพักก็พอ

แต่..ตอนนี้กลับไม่ได้ เพราะเค้าซ่อมถนนทางขึ้นดอยอยู่

คาซู่ เลยพามานอนที่บ้านของเพื่อนเค้าก่อน อีกชั่วโมงกว่า ถึงจะกลับขึ้นไปได้ เราไม่ได้นอนก็เลยนั่งเฉยๆคุยกับคาซู่และเพื่อนเค้าไปพลางๆที่หน้าบ้าน

มีตอนนึง เพื่อนคาซู่ลุกจะออกไปข้างนอก เราแอบได้ยินคาซู่พูดกับเพื่อนเค้าอะไรไม่รู้ยาวๆ แต่มีคำนึงนะที่เราฟังออก นั่นคือ “เจิงจูหน่ายชา” ฮ่าๆๆๆๆๆๆ หูเราจะจับคำนี้ได้ไวมาก

แหม คาซู่น่ารักจริงๆ มาการฝากเพื่อนไปซื้อชานมไข่มุกมาให้พวกเราด้วย

14.png

เพื่อนคาซู่กลับมาพร้อมกับชานมไข่มุก และน้ำมะนาวสำหรับเปิ้ล

เราเอาไปให้เปิ้ลในห้องนอน พอเห็นน้ำมะนาวถึงขั้นตะลึง

เปิ้ลบอกว่า “ตอนอยู่ที่นาข้าว เพิ่งพูดว่า ถ้าได้อะไรเปรี้ยวๆตอนนี้คงดีขึ้น”

 

11:30น.ได้เวลากลับบ้านก่วงม้า ไปกินข้าวเที่ยง แต่ก่วงม๊าไม่อยู่เลยเป็นกับข้าวที่ื้อมาเป็นกล่องๆกินกันแทน

วันนี้มีเกี๊ยวน้ำ …ตอนเช้าที่พ่นปุ๋ย ยังพูดกันอยู่เลยว่า รถลัมลูเหมือนรถขายอาหาร แล้วก็อยากกินเก๊่ยวน้ำกันขึ้นมา แล้วนี่ก็มีคนซื้อเกี๊่ยวน้ำมาให้ โชคดีจริงๆ  

ขณะที่กิน ลัมลูบอกว่าร้อน “เรามาเปิดน้ำที่พื้นกันดีกว่า” ทันใดนั้นลัมลูก็ไปลากสายยางที่ต่อน้ำมาจากบนเขา มาจ่อใต้โต๊ะให้พื้นเปียกๆ แล้วพวกเราเอาเท้าเล่นน้ำที่พื้นนั้น

GOPR7989.JPG

นี่มันเป็นวัฒนธรรมอะไรเนี่ย !! แต่ขอบอกว่ามันเวิร์คมากค่ะ  คิดได้ไง เท้าเย็น ทำให้ตัวเย็นสบายไปด้วยเลย

มีน้ำจากภูเขาให้ใช้ตลอดเวลาไม่ต้องกลัวเปลืองน้ำ มันดีอย่างงี้เอง

 

กินเสร็จก็นั่งคุยต่อ ลัมลูบอกว่าใน ไต้หวันมีหลายชนเผ่านะ ก่วงม๊าและลัมลูเป็นชาว Amis

ภาษาที่เราเรียนรู้จากก่วงม๊าและญาติๆ ไม่สามารถไปใช้กับคนอื่นได้ คนจะงง เราใช้ได้กับชาว Amisเท่านั้น

ก่อนจะย้านบ้านไปอยู่บ้านเรน ลัมลูพาไปดูศูนย์บริการนักเที่ยวของCilamitay ที่นี่เคยเป็นโรงเรียน เอามารีโนเวทเป็นศูนย์นักท่องเที่ยว ออกแบบและตกแต่งกันเองในกลุ่ม โดยใช้ของในพื้นที่มาตกแต่งไม่ต้องเสียเงินเลย

IMG_4062

ในห้องทำกิจกรรมมีโต๊ะไม้ไผ่ ที่ลัมลูบอกว่าเค้าออกแบบมาพิเศษ ไม่ว่าจะไปวางที่พื้นด้านนอกขระขระๆ โต๊ะก็ไม่โยกเยกนะ มันมีกลไกลพิเศษ แต่เราก็ดูไม่ออกว่ากลไกยังไงเหมือนกัน

ที่นี่จะแสดงผลิตภัณฑ์ อธิบายสถานที่เที่ยวบนเขานี้ ที่ให้เด็กๆมาทำกิจกรรม ที่กินข้าว ที่ยิงธนูไม้ไผ่

IMG_9612

เราก็ไปลองเล่นด้วย แต่เล่นไม่เป็น เสียวมันดีดกลับมาโดนหน้า ก็เลยเลิก

IMG_0130

เรามารับพวกเราที่นี่พร้อมกับจนท.เกษตร (เรนติดต่อกับรัฐบาลตลอดจริงๆ)

พาไปเดินดูบ้านคนสมัยก่อน ทำด้วยดิน เปิดให้คนเข้ามาดูว่าโครงสร้างยังไง

สมัยก่อนนอนห้องเดียวกัน ทั้งบ้าน บางทีมีการผิดลูกผิดเมียกันด้วย

DCIM101GOPROGOPR8013.DCIM101GOPROGOPR8026.

เดินไปตามนาขั้นบันได หันกลับมาเห็นนาเป็นชั้นๆ สวยสุดยอด ฟาร์มของโอก๊กเกอยู่บนสุด

DCIM101GOPROGOPR8017.

เขาพาเดินขึ้นไปตามทางน้ำ ชั้นบนๆใสและเย็นมาก ทำทางน้ำด้วยไม้ เลาะขอบเขา น้ำสะอาดมากจนเค้าบอกว่ากินได้เลย น้ำนี้แหละเอามาใช้ในหมู่บ้าน บ้านที่ก่วงม้าอยู่ และที่เอามาเปิดแช่เท้ากันเมื่อกี้

IMG_9640

ต่อมาก็นั่งรถไปออฟฟิซเรน ซึ่งก็คือโรงสีข้าวนั่นเเอง หน้าโรงงานวิวดีมาก โรงงานตั้งอยู่บนเนินเขา

2.png

ตอนบ่ายๆตรงเนินจะร่มเพราะมีภูเขาข้างหลังบังแดดแล้ว เรนพามานั่งเล่น แล้วก็บอกว่า

”มันสวยใช่มั้ย สีฟ้าของท้องฟ้า สีเขียวของนาข้าว ข้างล่างนั่นคือนาข้าวอิินทรีย์ของกลุ่มพวกเรา”

3.png

ใช่ มันสวยมาก มองไปทางไหนก็เขียว ภูเขา ท้องนา มีหมอกคลุมบนเขา ลมเย็น คิดดูดิว่ามันดีแค่ไหน ที่เดินออกมาจากโรงงาน ละเจอวิวแบบนี้

เนินนี้ เป็นที่ที่พวกเค้าใช้จัดงาน Music Festival กันปีที่แล้ว จัดกันเอง เพื่อโปรโมทหมู่บ้านเล็กๆนี้

ปีนี้ พวกเรนก็กำลังจัดงานนี้อีกเหมือนกัน  

เรานั่งเล่นกัน ในขณะที่รอเรนติดต่อธุรกิจพันล้านอยู่ อยากอยู่นานๆ ตรงนี้มันสบายตามากๆ เรนบอกว่า Wait a moment จะไปที่บ้านเรนกัน
เราไม่รู้หรอกว่า Wait a moment ของเรน จะยาวนานแค่ไหน
..บางครั้งมันก็หมายถึงพรุ่งนี้
..บางครั้งก็อีกประมาณชั่วโมง
..บางครั้งก็เดี๋ยวนั้นเลย

GOPR8142.JPG

ชีวิตของเราสามคนที่นี่ เป็นแบบไม่รู้กำหนดการล่วงหน้า แล้วแต่พวกเขาเลยค่ะ

ไม่รู้ว่าเขาจะพาเราไปไหน ไปทำอะไร เมื่อไหร่ รู้แค่คร่าวๆก็พอ เราก็พอใจที่มันเป็นแบบนี้นะ ตื่นเต้นดี ไม่สามารถทำแบบนี้ตอนอยู่ไทยได้ เพราะเราต้องจัดการตารางเวลาของตัวเอง

พอถึงเวลา เรนก็มาเรียกพวกเรา ไปกันเถอะ แล้วก็พามาวัดพุทธแห่งหนึ่ง วัดนี้เรนเคยบอกไว้เมื่อสามวันที่แล้วว่าจะพามา แต่เวลาคงไม่พอเลยไม่ได้มา แต่เรนก็ยังจำได้อยู่นะ พามาซะวันนี้เลย ขับขึ้นมาบนเขาเตี้ยๆ ที่นี่วิวก็สวยมากอีกเหมือนกัน

GOPR8057.JPG

GOPR8048.JPG

เฮ้ย ทำไมชอบพามาแต่ที่สวยๆอ่ะ คิดว่าถ้าใครมาที่เมืองนี้ คือต้องแนะนำเลย

มาถึงก็เจอคนที่วัดเตรียมชากาแฟต้อนรับด้วย

คือเรนรู้จักทุกคนจริงๆอ่ะ คงบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมา

 

คืนนี้นอนบ้านเรน ห้องที่เรานอนเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่น อากงของเรนออกแบบเอง มีฟูตงปูที่พื้น นอนสบายดี

ประตูกระดาษ ถ้านอนเม้ากับเปิ้ลคืนนี้ เสียงออกไปข้างนอกแน่นอน

ได้ยินเรนคุยกับอากง เหมือนเราได้อยู่ที่บ้านที่แวดล้อมไปด้วยญาติๆเชื้อสายจีนของเรา ครอบครัวเรนเป็นจีนแคะเหมือนเรา พูดภาษาเดียวกัน

เย็นนี้เรนพาไปกินเกี๊ยว ร้านไม่ใหญ่ รู้สึกโล่งใจที่ได้กินอะไรเบาๆ เกี๊ยวไส้หมูผสมกุยช่าย อร่อยดี

มีซุปรสชาติกะเพาะปลา ใส่หน่อไม้ เต้าหู้ แครอท เห็ด

เรนใส่ใจมาก บอกรายละเอียดทุกอย่างที่เรากิน ส่วนผสมทุกอย่าง

กินเสร็จก็พามาที่ Taitung ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าขับรถข้ามเมืองมาแล้ว เมืองนี้คือที่ที่เรานั่งรถไฟมาเจอพวกเค้าในวันแรก เดี๋ยวคืนนี้เรนจะมีประชุมกับเพื่อนๆ และจะพาเราสามคนมาด้วย

“คืนนี้พวกเธอจะได้เจอทุกๆคนเลย” เรนบอก

ระหว่างทางก็แวะไปซื้อชานมไข่มุก อิอิ เป็นครั้งแรกที่ได้ลงมาซื้อเอง

นี่แก้วที่ 3 ของวันนี้แล้วนะ

IMG_9707.JPG

วันนี้มีการนัดประชุมกัน เรื่องงานมิวสิคของ Fuli เค้าเคยบอกว่าพยายามโปรโมทหมู่บ้านตัวเอง งานจะมีวันที่ 4-5 พ.ย. เรนบอกว่ามันใกล้มากแล้ว เค้าก็ยุ่งมากกับงานนี้

เจอเพจด้วย เป็นทีมงานเหมือนกัน นี่ขนาดมามีทติ้ง ยังหิ้วเหม่เหม่มาด้วย มีลูกน้อยๆก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน ทำกิจกรรมกับพวกเพื่อนเลยอ่ะ

นอกจากนั้นก็เจอคนอื่นมากมาย ตามที่เรนได้บอกไว้ เช่น หมินจง ฟ่านฟ่าน เพจ ลัมลู และคนที่เราไม่รู้จักชื่ออีก

เริ่มประชุม เรนเป็นเหมือนหัวหน้า เป็นหัวหน้าที่จริงจังมาก (เรนเลือดกรุ๊ปเอ)

IMG_9723.JPG

ดูพวกเค้าจริงจังนะ นัดเพื่อนๆมาประชุมเพื่อจัดงานโปรโมทหมู่บ้านด้วยกัน ดูเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาก

ตอนเล่นๆก็สนุกสนาน พอต้องมาประชุม ก็คุยกันจริงๆ ไม่มีคุยเล่นแทรก

คือเหมือนประชุมในบริษัทเรย

IMG_9728.JPG

เห็นแล้วอยากมาร่วมงานด้วย มันจะออกมาเป็นยังไงน้า

น่าเสียดาย ที่เราฟังไม่ออกว่าเค้าคุยไรกัน เลยกดดูราคาตั๋วมาไต้หวันไปพลางๆ พบว่าไม่ได้ถูก

น่าเสียดาย ที่เราคงมาไม่ได้

 

ลืมเล่าไปว่า มีคนซื้อไก่ทอดมาแบ่งกันกินระหว่างประชุมด้วย!!

ก่อนที่เรนจะพาไปกินเกี๊่ยว เพิ่งคุยกันว่าอยากกินไก่ทอด KFC แล้วนี่ไก่ทอดร้อนๆก็ลอยมา

สวรรค์มีตาอีกแล้ว นี่ถ้าแถวนี้มี KFC คงได้กินKFCแน่ๆ

 

ลองมานั่งลิสต์ดูว่า มีอะไรบ้างนะที่คิดแล้วก็ได้ขึ้นมา

..ไข่เจียวที่ TARI

..หมินจงโผล่มาที่บ้านก่วงม้า

..เจิงจูหน่ายชาที่สวนส้มโอ

..หมากฝรั่งที่คาซู่แวะซื้อมาให้ (เราพูดกับชัยเรื่องหมากฝรั่งตอนนั่งรถกระบะไปนาของคาซู่เมื่อเช้า 10นาทีต่อมา คาซู่ก็จอดรถลงไปซื้อ..)

..น้ำมะนาวของเปิ้ล

..เกี๊ยวน้ำที่บ้านลัมลู

..ไก่ทอดkfcตอนประชุม

 

คือเหมือนมีใครตามเรามาตลอด พอเราอยากกินไร ก็จะไปกระตุ้นให้คนที่นี่หามาให้

ความอยากของเรามันแรงมากขนาดนั้นเลย

Day7 Rain’s factory โรงสีข้าว

เมื่อคืนมี Big Cleaning เสื้อผ้าของเราสามคน แค่เสื้อผ้าพวกเรา ราวตากผ้าบ้านเรนก็เต็มเอี๊ยดละ

ตื่นเช้าขึ้นมา เรนนัดออกจากบ้าน 7 โมง

เราออกมารอก่อนเวลา เลยมีเวลาเดินเล่นหน้าบ้านเรน เป็นบ้านที่ตั้งอยู่บนตีนเขา มีโรงเก็บของ เก็บฟืน

อากงก็ตื่นเช้า พาเราดูสวนดอกไม้ของอากงด้วย

อากงนี่เอง ที่เป็นมาสคอตของข้าวของเรน(เกิดเป็นอากงก็เป็นมาสคอตได้นะ)

เราเคยเห็นรูปอากงบนห่อข้าวที่วางโชว์ในออฟฟิซ

วาดรูปได้เหมือนทีเดียว ดีใจที่ได้เจอตัวจริงค่ะอากง

IMG_9315.JPG

อาหารเช้าวันนี้ เรนพาไปแวะซื้อก่อนจะไปโรงงาน เป็นไชโป้ว ไข่เจียว ปาท่องโก๋ ทุกสิ่งรวมกันห่ออยู่ในข้าว ไม่รู้คนอื่นอร่อยมั้ย แต่เราอร่อยมาก เพราะยัดไส้ด้วยของโปรดเราทุกอย่าง กินคนละก้อน อิ่มเลย

เรนเรียกว่า ซูชิไต้หวัน

IMG_9776.JPG

 

ก่อนจะเริ่มงาน เรนพาไปเจอ จางปาป้า เป็นชาวนาอายุเกือบ60ละ ใช้โดรนโรยปุ๋ยอินทรีย์ โดรนนี้จางปาป้าซื้อเอง ใหญ่กว่าที่หมินจงใช้วันก่อนอีก ทันสมัยมากเลย

IMG_9755

DCIM101GOPROGOPR8091.

วันนี้พวกเราดันยืนอยู่ใต้ลม เลยต้องใส่หน้ากากกันปุ๋ยเข้าจมูก(จางปาป้าแจกให้คนละอัน)

IMG_9762

เรนเป็นภูมิแพ้ ไอหนักมาก แต่ไม่ชอบใส่หน้ากาก และท่าทางจะนอนน้อยทุกวันด้วย

คือเป็นผู้ชายที่ทำงานหนักและยุ่งตลอดเวลาจริงๆ

เรนอยู่ในห้องทำงาน หน้าคอม กินข้าวเสร็จก็รีบกลับไปทำงานต่อเลย

เราแอบนับ ตั้งแต่ออกจากบ้านมา7:30จนถึงที่โรงงาน8โมง เรนรับสายไป6สายแล้ว

DCIM101GOPROGOPR8092.

ที่โรงงานเรน มีเครื่องสีข้าว อลังการมาก (หรือเป็นเพราะเราไม่เคยเห็นโรงสีที่ไหนมาก่อน)

เราเดินเข้ามาในส่วนแพคข้าวใส่ถุง เป็นห้องแอร์ มีคนงานผู้หญิงทำงาน3-4คน ตอนนั้นเค้ากำลังทำแพคเกจจิ้งดีไซน์พิเศษสำหรับลูกค้าธนาคาร สวยน่ารัก เป็นรูปถังไม้หุงข้าว เรนก็ให้พวกเราเข้าไปช่วยเค้าทำหน่อยๆ

แล้วบอกว่า ”วันนี้เธอจะได้ใช้ทุกเครื่องในห้องนี้”

ว้าวววว วันนี้ได้เป็นสาวโรงงานค่า

ส่วนชัยก็ไปดูเครื่องสีข้าวด้านนอก ทำงานเหมาะกับความสามารถจริงๆ

IMG_9782.JPG

หน้าที่ของเราในห้องนี้คือ

เอากระสอบที่ใส่ข้าวขนาด 30kg มาทำสัญลักษณ์ว่าข้าวอะไร ขาวหรือน้ำตาล

ประทับวันที่ผลิต ซึ่งก็คือวันที่สีข้าวนี่เอง และวันหมดอายุ คือนับไปอีก6เดือน แปะสติกเกอร์หมายเลขผู้ผลิต เครื่องหมายออแกนิก

IMG_9804.JPG

เอาข้าวใส่ถุงโดยใช้เครื่องกรอก(กดน้ำหนักข้าวที่ต้องการ ข้าวก็จะออกมาเท่านั้นเอง) โดยข้าวพวกนี้ก็ต่อท่อจากเครื่องสีข้างนอก สีเสร็จปุ้บกรอกใส่ถุง

….เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าเค้าทำกันอย่างงี้

 

ชัยก็มาช่วยข้างในบ้าง ตอนรอรับกระสอบหนักๆไปเย็บปิดปาก

(งานหนักให้ผู้ชายทำ งานเบาให้ผู้ชายช่วย)

นี่ก็เพิ่งเคยเห็นว่าเย็บอย่างงี้

พวกถุงเล็กๆ(ขนาด 1kg และ 2kg)ก็จะเอาใส่บล๊อกสี่เหลี่ยมก่อน ให้จัดทรงถุงให้เป็นเหลี่ยมๆ พอเอาข้าวใส่แล้วก็เคาะๆให้แน่นขึ้น แล้วเอาไปซีลดูดอากาศออก เอาไปแพคใส่ลัง

IMG_9801.JPG

พักเที่ยง กินข้าวพร้อมหน้ากันทั้งโรงงาน กินตรงห้องประชุมนี่แหละ ห้องนี้สารพัดประโยชน์จริงๆ

กันกับข้าวที่มีใครบางคนซื้อใส่กล่องมา ซื้อมาแค่กับข้าวนะ ข้าวสวยไม่ต้อง เพราะที่นี่เป็นโรงสีข้าว ฮ่าๆๆๆ

ครัวที่นี่จะทำหน้าที่แค่หุงข้าวและอุ่นซุปร้อนๆ

IMG_9815.JPG

ตอนบ่ายมีรถขนส่งมารับละ ไอ่ที่สีและแพคใส่ถุงกันเมื่อเช้า กำลังจะเอาไปขายหมดแล้ว พวกพี่พนักงานเลยเริ่มทำความสะอาด สะอาดมากๆๆ ใช้ลมเป่าให้พวกเศษข้าว เปลือก ผงต่างๆที่กระจายตามเครื่องออกให้หมด แล้วยังเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดๆอีก เครื่องใหญ่โตเลยต้องดูแลดี ถ้าไม่หมั่นทำความสะอาด อาจจะพังเร็ว และก็คงมีผลต่อคุณภาพข้าวอีกด้วย

สังเกตได้ว่าที่นี่มีแต่คนงานผู้หญิง ผู้ชายคนเดียวเท่านั้นคือคนที่คอยมอนิเตอร์การทำงานของเครื่องจักร

ซึ่งที่มันเวิร์กมาก เพราะมีงานที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน เช่น ทำแพคเกจสวยงาม ทำความสะอาด อาจหาผู้ชายทำได้ยาก ส่วนงานหนักๆอย่างพวกแบกหามก็ไม่มี เรนมีเครื่องยกมาช่วยหมด แล้วผู้หญิงก็สามารถขับรถยกนั้นได้

ทำความสะอาดอยู่ดีๆก็ได้ยินเพลงปลุกใจ มีคนเปิดไว้ที่คอมฯในห้องแอร์ เราไปยืนดูMVด้วย ในMVเต้นกันสนุกโคตร เห็นละอยากเต้นเรย เราดูนานมาก ติดหูเลย มันคือเพลงนี้

IMG_9830.JPG

ใครเปิดนะ อยากขอบคุณจากใจ เรายกให้มันเป็นเพลงประจำทริปนี้เลย Hoi-Ya-O…..

เลิกงาน 5 โมงตรง (วันนี้เราทำงาน 8 ชม.เป๊ะ) แต่เรนยังไม่เลิก มีคนมาสัมภาษณ์เรนอยู่ที่ห้องประชุม

ระหว่างรอ ปะป๊าของเรนชวนออกไปตัดฝรั่งที่ปลูกอยู่ข้างๆโรงงาน

เป็นฝรั่งออแกนิกที่ปะป๊าปลูกไว้ ตัดมาก็กินเลย นั่งกินตรงเนินชมวิวที่เดิม ..

..อร่อยง่ะ

facebookกลุ่มสหกรณ์จำหน่ายของเรน : https://www.facebook.com/manna983

 

เย็นนี้กินข้าวที่บ้านเรน ปะป๊าทำอาหารให้ มีอาหารหลายอย่างเลย แน่นอนว่ากินไม่หมด

IMG_9863.JPG

เราชอบอารมณ์นี้อ่ะ ชอบมากกว่าไปกินตามร้าน มันให้ความรู้สึกกินในครอบครัว

IMG_9862.JPG

หมินจงและฟ่านฟ่านตามมาสมทบ ซื้อชานมไข่มุกมาให้ด้วย

ไม่ได้มากันเล่นๆนะ เขามาคุยธุระกัน คือหมินจงจะสมัครเข้าเป็น Young Famer ของไต้หวัน ปีหนึ่งจะได้รับการคัดเลือกแค่ 100คนเท่านั้น หมินจงเลยมาปรึกษาเรน

เรนได้เป็น Young farmer รุ่นที่3 ตอนนี้กำลังเปิดรับรุ่น4

ถ้าได้เป็น จะได้รับการสนับสนุนจากไต้หวัน

เช่น ถ้ามีโครงการจะทำอะไรก็เขียน Proposalไปบอกรัฐ จะได้รับเงินสนับสนุนทุนครึ่งนึง เครื่องจักร เป็นระยะเวลาสามปี แต่กว่าจะได้เป็น 1 ใน 100 มันก็ไม่ง่าย

เราชอบที่รัฐสนับสนุนแบบนี้ คัดเลือกคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดดีจริงๆขึ้นมา แล้วสนับสนุนพวกเค้า มันทำให้เกษตรกรได้ลองคิดทำไรใหม่ๆ ถ้าคิดดีก็ได้เงินช่วย มิน่า เรนถึงบอกว่าต้องเขียน Proposalเยอะมาก เพราะในหัวเรนคงมีโปรเจคเยอะ   ปีหน้าเรนจะได้ไปดูงานที่ญี่ปุ่น แต่ก็ต้องออกเงินเองครึ่งนึง

เรนหันมาถามเราว่า “มีคนที่มาแบบเธอกี่คน” เราก็งงกับคำถามนะ ก็มากันสามคน มานอนบ้านเรนนี่ไง ฮ่าๆๆๆ

เราตอบ  “เกษตรกร 2 เจ้าหน้าที่1”

เรนถาม “ทั้งประเทศ?”

เรา “ใช่”

เรนตกใจมาก สงสัยคิดว่ามีคนอื่นด้วย แต่กระจายไปตามเมืองอื่นมั้ง

แล้วก็ถามเราว่า “เมย์ เธอต้องเขียน Proposalกี่หน้า ถึงได้มาที่นี่”

“กรอกใบสมัครมา 2 หน้า” ตอบไปแล้วก็รู้สึกว่าทำไมมันดูง่ายจัง จริงๆมันไม่ง่ายนะ เราบอกไปว่า นอกจากกรอกใบสมัครแล้ว เราก็ต้องเข้าไปสัมภาษณ์ด้วย

จริงๆก่อนที่พวกเราจะมาถึง Fuli เรนไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร ได้รับข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่ชายแก่ๆ 1 คน และเกษตรกรชาย 1 หญิง 1 ฮ่าๆ ข้อมูลมันผิดพลาดกันตอนไหนนะ

ต่อมาก็คุยกันเรื่องพัทยา หมินจงกำลังจะไปพัทยาเดือนหน้า มีสิ่งเดียวที่กังวลคือ กลัวจะแยกสาวประเภทสองออกจากสาวแท้ไม่ออก เพราะสาวประเภทสองที่ไทยบางคนงามกว่าสาวแท้ซะอีก

โถ..หมินจง

กินข้าวเสร็จมาสองชั่วโมงแล้ว แต่ยังคงคุยกันอยู่ ถ้ายังไม่ดึกคนประเทศนี้ก็จะยังคุยกันต่อไป  

เราหันมาถามหมินจงและฟ่านฟ่านว่าชื่อเราในภาษาจีนเขียนยังไง เค้าก็เขียนมาให้ ซึ่งมันอ่านว่าเม แต่แปลว่าพลัม แล้วเราก็ให้สอนเราเขียนชื่อภาษาจีนของพวกเค้าด้วย

ยากมาก ถ้าจะเขียนให้ถูกต้อง ต้องมีลำดับการขีดที่ถูกต้องด้วย

หมินจงสอนว่า ”ดูที่ฉันนะ, บนลงล่าง ซ้ายไปขวา”

 

คืนนี้ เราได้ข้อคิดว่า การมาอยู่กับคนที่นี่ มันไม่ได้มาเรียนแค่การเกษตรนะ

พวกเราได้เรียนรู้ทั้งสังคม วัฒนธรรม และภาษาด้วย

Day5 ถอนหญ้าในนาข้าวบนดอย

วันนี้จะได้ไปช่วยงานกวงม้าแล้ว และได้เจอลัมลูด้วย

งานของวันนี้คือการถอนหญ้าในท้องนา ก่วงม้าเตรียมรองเท้าบูธพร้อมลุยนา ถุงมือสองชั้น ชั้นนอกเป็นยางกันน้ำได้ ชั้นในเป็นผ้าเพื่อป้องกันมือเราเสียดสีกับยางจนพอง และหมวกบานๆ

อุปกรณ์ที่ก่วงม้าเตรียมไว้ให้ก็เรียกว่าครบมือมากแล้ว

พอหันไปเจอก่วงม้า ครบถ้วนยิ่งกว่า มีเสื้อแขนยาวลายดอกไว้คลุมแขน ผ้าปิดแก้ม กระเป๋าเป้น้อยๆไว้ใส่มือถือ(เอาไว้กด google translateไว้คุยกับพวกเราในแปลงนาข้าว) น้ำดื่ม เป็นคุณป้าชาวนาที่เลิศจริงๆ

IMG_9444

เรานั่งท้ายกระบะบนรถคาซู่(น้องชายก่วงม้า)ขึ้นไปบนเขาอีก

ชอบรถคาซู่มาก กระบะเปิดด้านข้างได้ ต่อเติมให้มีหลังคาและผนังรอบด้าน คือมันไม่ร้อนเลย ผนังด้านข้างก็สามารถเปิดได้หมดทุกด้านด้วย

IMG_9397

พอไปถึงพวกเขาก็ลงไปถอนหญ้ากันเลย หญ้าทุกต้นที่แทรกอยู่ระหว่างต้นข้าว

IMG_0136

ก่อนเราจะลุยลงไปถอนหญ้า ลัมลูเล่าว่า ข้างทางที่ขับรถขึ้นมานั่นเป็นที่ของก่วงม๊าและสามีหมดเลย ช่วงนี้ก็มีแต่งานถอนหญ้านี่แหละ เขาสองคนถอนกันมา 2 อาทิตย์ละ

แปลงของก่วงม้าใหญ่มากนะ ค่อยๆขึ้นมาตามเขา เป็นขั้นบันได

IMG_9430

หน้าที่ของลัมลูคือการติดต่อประสานงานกับรัฐบาล หาตลาด ทำกิจกรรมโปรโมทอะไรพวกนี้มากกว่า ไม่ค่อยได้มาลงแปลงนาเองจริงๆ

ที่ทำอยู่นี่ก็ทำกันในหมู่ญาติ มีหลายๆแปลงเป็นของญาติแต่ละคน เขาอยากช่วยเรื่องตลาดให้ขายได้ จะได้พัฒนาชีวิตของคนที่นี่ แต่ข้าวที่ปลูกได้มีน้อย ไม่สามารถส่งตามตลาดใหญ่ได้ จึงเน้นขายปลีก ให้คนมาดู มาเที่ยว และซื้อกลับไป

ที่ห่อข้าวแต่ละห่อ จะมีรูปชาวนาแต่ละคนติดอยู่ เพื่อให้คนที่ซื้อรู้ว่าซื้อข้าวของใคร แล้วชาวนาเองจะมีความภูมิใจมากว่านี่เป็น My rice! เมื่อพวกเขามีความสุข เขาก็จะทำงานได้หนักขึ้น

IMG_9425

ลัมลูกำลังทำให้ที่นี่เป็น eco-tourism ให้คนมาเห็นวิธีทำ เห็นว่าข้าวที่นี่มันปลูกยากแค่ไหน ยากกว่าที่อื่นมากๆเพราะเป็นภูเขา เครื่องจักรที่จะทุ่นแรงก็ขึ้นมายาก ทางชันและแคบ ต้องใช้แรงงานคนล้วนๆ ดังนั้นราคาของข้าวที่นี่จึงสูงกว่าข้าวที่ปลูกบนที่ราบข้างล่าง แถมทั้งหมู่บ้านนี้ปลูกข้าวออแกนิกทั้งหมด ไม่ใช้ยาสไม่ใช้สารเคมี ความยากจึงเพิ่มขึ้นเข้าไปใหญ่

IMG_9407

ซึ่งเราก็เห็นอยู่ตรงหน้านี่แหละ แถมได้ลงไปช่วยเขาทำด้วย หรือว่าไปช่วยทำให้ยากขึ้นก็ไม่รู้

งานของก่วงม๊า เราและน้องเปิ้ล ก็คือก้มหน้าก้มตาถอนหญ้าทีละต้นๆ แล้วขยุ้มๆฝังไว้ในโคลน ให้เป็นปุ๋ยในดินต่อไป

IMG_0135

ส่วนชัย หายไปแล้ว แบกเครื่องตัดหญ้าเดินขึ้นเขาไปไหนละไม่รู้ ชัย,ลัมลู และคาซู่ต้องไปตัดหญ้าริมทางน้ำให้สะอาด คนในหมู่บ้านสร้างทางให้น้ำจากเขาไหลลงมาใช้ในการเพาะปลูก แล้วแต่ละคนก็แบ่งหน้าที่กันดูแลทางน้้นกันคนละช่วงๆ เช่น ช่วงบนสุดเป็นของคาซู่ ต่ำลงมาเป็นของก่วงม๊า และลงมาอีก็เป็นคนของอื่นๆต่อไป ที่ว่าดูแลก็คือ คอยตัดหญ้าไม่ให้มันรก ไม่ให้เป็นที่สะสมของโรคและแมลง ถ้าน้ำสกปรกก็ส่งผลเสียต่อไร่นาของเขานั้นเอง

ชอบอ่ะ ชอบตรงที่แบ่งหน้าที่กันดูแล เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

วันนี้นับว่าโดนแดดร้อนสุดๆนานสุดตั้งแต่มาถึงไต้หวันเลย  

เราเดินไปถอนกลางๆนาไม่ได้ เท้าจมดินตลอด และไม่มีสกิลในการดึงเท้าออกมาด้วย มีครั้งนึงกระชากเท้าขึ้นมาได้ แต่รองเท้าบุธติดอยู่ที่เดิม ทุลักทุเลพอสมควร กว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็เซไปมา เหยียบต้นข้าวรอบๆไป 4-5ต้น เกือบล้มลงไปได้ด้วย กลัวข้าวก่วงม้าจะเสียหายไปมากกว่านี้ เราเลยถอนตามริมๆ มีคันดินให้เกาะเวลาจะเซ

IMG_9419

ถอนหญ้าไปก็บี้ไข่ของหอยเชอรี่ไปด้วย ลัมลูบอกว่าพอมันโต มันจะทำลายข้าวตายหมดเลย

กลุ่มไข่ก้อนนึงมีเป็นหลายสิบฟองเลย แล้วเจอร้อยๆพันๆกลุ่มเต็มไปหมด นี่ถ้ามันโตขึ้นมา ข้าวจะเป็นไงเนี่ย

เราบี้ไปเยอะมาก น่าจะช่วยลดปริมาณหอยไปได้หลายพันตัว

จริงๆตอนบี้ก็สลดใจเหมือนกันนะ ได้แต่แผ่เมตตา ขอให้ชาติหน้าพวกเจ้าเกิดมาเป็นคน

IMG_9431

ถอนหญ้าไปชั่วโมงกว่าก็มานั่งพัก กินบ๊ะจ่างเพิ่มพลัง ก่วงม้าใช้กูเกิ้ลมาพูดกับเราว่า

“ข้าวของฉันป่วย”

คือตลอดเวลาที่ถอนหญ้า ก่วงม้าก็คอยสังเกตไปด้วยว่ามีอะไรผิดปกติมั้ย เราเลยถามว่า ป่วยแล้วจะแก้ยังไง

“ฉันจะถ่ายรูป ไปปรึกษารัฐบาล”  แล้วก็ไปกดๆถ่ายรูป ส่งไลน์ไปปรึกษาใครซักคน ซึ่งเราคิดว่าคงเป็นเรนนั่นแหละ ให้เรนประสานงานให้ เพราะก่วงม๊าก็เป็นสมาชิกในกลุ่มปลูกข้าวของเรนเหมือนกัน

ก่วงม้าเป็นชาวนาที่ใช้เทคโนโลยีได้มีประโยชน์จริงๆ

ละก็ไปถอนต่อ ถอนไปอีกแป้บเดียวฝนก็ตก วิ่งมานั่งพักที่หน้าบ้านของใครไม่รู้ แต่ก่วงม้าก็อธิบายว่าเป็นญาติๆเขานั้นแหละ ระหว่างพักก็นั่งเด็ดกุยช่ายเพื่อใช้ทำเป็นอาหารกลางวันนี้ เป็นกุยช่ายที่ก่วงม้าปลูกไว้เองใกล้ๆนาข้าว

IMG_9464

กลับมาอาบน้ำ รอไปกินข้าว กินจนเสร็จแล้วชัยเพิ่งกลับมา น่าจะเดินขึ้นไปตัดหญ้ากันสูงจริงๆ

เสื้อผ้าเลอะมาก ต้องเอามาซักตาก เลยถามก่วงม๊าว่าซักที่ไหนตากที่ไหน กว่าจะคุยกันเรื่องซักผ้ารู้เรื่องก็หลายนาทีเลย ฮ่าๆๆ

ตอนกินข้าวกลางวัน แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ ก็ยังคงดื่มเหล่าและนั่งคุยกันอยู่ดี

IMG_9353

ลัมลูบอกว่า “พวกเราใช้เวลากินข้าว 2 ชม. อย่างงี้ทุกวัน” โอ้วววว

แม้เราจะพูดอะไรกันได้ไม่เยอะ ได้แค่ห่าวซือ(อร่อย) ห่าวหวาน(สนุก) สื่อสารกันได้ด้วยคำศัพท์ที่จำกัด แต่ก็ไม่เบื่อเลยนะ

กินเสร็จกลับมานอนในห้อง นอนก่ายหน้าผากแล้วคิด…

ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมาก มะกี้ก็ถอนหญ้าไปประมาณ 2 ชม.เอง งงมาที่ตัวเองเพลียขนาดนี้

ทำไรนิดหน่อยก้อเหนื่อย มะกี้อาบน้ำยังเหนื่อยเลย

หรือเป็นเพราะเราทำอะไรมาเยอะติดๆกันแบบไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว

แต่ก็พักระหว่างวันนี่นา นอนก็นอนพอทุกวัน

IMG_9354

นี่กำลังนั่งรำลึกความหลังอยู่ ว่าผ่านมา 5-6วันนี้ มันเกิดอะไรขึ้นมาก

ตอนนี้บ่าย 2 เราออกไปทำงานอีกทีน่าจะประมาณ 4 โมง ไปปลูกผัก

มีเวลาเหลือเฟือในการนอนเอาแรง แต่ก็ตีกับตัวเองในใจว่าจะนอนหรือมานั่งพิมพ์บันทึกเรื่องราวดี

ร่างกายก็เมื่อยไปทั้งตัว แต่ใจก็คิดว่านั่งทำไปเฉยๆก็ไม่น่าจะเหนื่อยอะไร

 

ร้อนๆและเพลียๆอย่างนี้ อยากกินของหวาน ….อยากกินชานมไข่มุกจังเลย

คิดถึงชานมไข่มุกที่พวกเพื่อนข้างล่างเคยพาไปซื้อบ่อยๆ หมินจง เรน เพจ

เจิงจูหน่ายชา….
ไม่ไหวแล้ว ยอมแพ้ ไปนอนดีกว่า

ตั้งนาฬิกาปลุกออกมาบ่าย4 ตามนัด

เดินมาถึงบ้านก่วงม้า ตกใจเจอชัยถอดเสื้อยืนทำงานนำอยู่ก่อนละ พร้อมเปิดขอใจเธอแลกเบอร์โทร เป็นเพลงประกอบด้วย

ช๊อกกว่านั้นคือ เจอเจิงจูหน่ายชา!!!! กรี๊ด สวรรค์มีตาจริงๆ

รีบกินชานมไข่มุกที่ก่วงม้าอุตส่าห์ลงจากดอยไปซื้อมาให้ เรนบอกก่วงม๊าว่าพวกเราชอบกิน

ไม่ใช่สวรรค์หรอกที่มีตา ก่วงม๊ากะเรนต่างหากที่มีตาและมีน้ำใจมากกก

IMG_9469

ดูดชานมเสร็จสดชื่นทันที แล้วก็รีบเอาต้นกล้าผักลงปลูกในกระถางอย่างสนุกสนาน ก่วงม๊าก็ปลุกไปเต้นเพลงพี่เบิร์ดไป  รู้งี้ออกมานานละ

2

1

ก่วงม้าคอยถ่ายรูปทุกกิจกรรมของพวกเราและรายงานเรนทราบ

เพิ่งรู้ว่าก่วงม้าเรียนเรนด้วยชื่อภาษาจีนคือ อิเอิ๊น (Yuen)

น่ารักอ่ะ ต่อไปนี้จะเรียกเรนว่า อิเอิ๊น….

เอาต้นกล้าลงกระถางเสร็จก็เอาไปจัดเรียงไว้ให้สวยงามตามอิสระเรา แล้วก็มานั่งพัก

IMG_9474

นั่งคุยกันว่า คิดถึงพวกเพื่อนที่อยู่ข้างล่างเหมือนกันนะเนี่ย ละก็นึกถึงเรื่องนาข้าวของหมินจง ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆก็มีรถขับมาจอดหน้าบ้านก่วงม้า  และหมินจงก็โผล่หน้าออกมา เฮ่ยยยย ตายยากจนน่าขนลุก

พวกเราสามคนก็วิ่งปรี่ไปต้อนรับ เหมือนได้เจอเพื่อนที่พลัดพรากและกำลังคิดถึง ทั้งๆที่เพิ่งเจอเมื่อวาน ฮ่าๆๆๆ

หมินจงพาเพื่อนมาเที่ยวบนเขา เลยแวะมาหา คุยแป้บๆก็กลับไป

กลับนั่งร้องเพลง รอเวลากินข้าว

เย็นนี้พวกเราเสนอตัวช่วยทำอาหาร ที่จริงคือเพราะอยากกินรสชาติไทยความเปนไทย
มาถึงเปิ้ลก็ใช้อุปกรณ์ต่างๆได้หมดเรย รู้ที่ทางในครัว งงมาก คนทำอาหารเป็นคงหยิบจับอะไรได้ เป็นเราคงงงว่าต้องเริ่มอะไร ใช้อันไหน

เราจะตีไข่เตรียมทำไข่เจียวละกัน ง่ายสุด

เปิ้ลไปผัดผัก มีการใส่พริก กระเทียม แค่นี้ก็เริ่มมีกลิ่นจัดจ้านความเป็นไทยขึ้นมา ปกติคนที่นี่จะเอามาผัดกะน้ำมันนิดหน่อย ไม่ปรุงไรเยอะเพื่อคงรสชาติดั้งเดิมของผักไว้

ก่วงม้าก้อทำกับข้าวอื่นๆในส่วนของเค้าไป มีเต้นๆระหว่างทำด้วย

ที่นี่ใช้น้ำธรรมชาติเลย ต่อท่อมาจากบนเขาอยู่แล้ว น้ำไหลจากก๊อกตลอด เหมือนมีใครเปิดไหลทิ้งตลอดเวลา อยากจะใช้ล้างอะไรตอนไหนก็ใช้ได้เลย แปลกดีเหมือนกัน

ถึงเวลากินข้าวเย็น วันนี้มีโอโกเก๊ะ พี่ชายลัมลูมากินด้วย

DCIM101GOPROGOPR7953.

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่มาอยู่บ้านก่วงม๊า มีการร้องเพลง เปิดไฟฉายจากมือถือมาส่องไปที่คนร้อง ราวกับคอนเสิร์ต ความจริงคือเค้าปิดไฟละนั่งคุยกันมึดๆ เพื่อไม่ให้แมลงมาใกล้ๆ พอร้องเพลงก็เลยต้องร้องมึดๆ เปิดไฟฉายเพื่อถ่ายรูป

ก่วงม้าร้องเพราะมากกก เราไม่รู้ความหมายหรอก

และต่อด้วยขอใจเธอแลกเบอร์โทรอีก เพลงนี้ดังมากในไต้หวัน ก่วงม้าSearchมาร้องเองเลย

4

พวกเรามอบของที่ระลึก เป็นผ้าพันคอ ก่วงม้าเอามาพันแล้วร้องเทียนมีมี่ พร้อมกับเล่นกล้อง เล่นผ้า ลีลาเยอะสุดๆ สมกับกิตติศัพท์ที่ได้ยินก่อนมา

7

เราถามลัมลูว่า ที่นี่เรียกว่าอะไร (มาอยู่จนจะกลับละ ยังไม่รู้ชื่อสถานที่)

ลัมลูบอกว่า ชื่อ Cilimitay village  และคำว่า Haramy คือชื่อข้าวของที่นี่
(ได้ยินคำนี้จากปากก่วงม๊าบ่อยมาก แต่googleมันแปลไม่ถูก)

ข้าวที่นี่ราคาสูงสุดในไต้หวัน และปลูกในที่สูงสุดด้วย !! เรามาอยู่ในที่ที่สุดยอดอีกแล้ว

 

IMG_9460

พื้นที่ปลูก 3 Hectres (18.75ไร่) ปีนึงปลูก2รอบ คือมิ.ย. และ พ.ย. คนชอบซื้อเพราะสะอาด ปลูกในที่ที่อากาศสะอาด น้ำสะอาด อาจจะแพงสำหรับคนไต้หวัน แต่เค้าส่งไปขายที่ฮ่องกง ถือว่าราคานี้ไม่แพงเรย

มีบางคนในไต้หวันที่ใส่ใจในสุขภาพหน่อย ก็อยากกินข้าวของเค้าเหมือนกัน

พ่อแม่บางคนกินข้าวปกติ แต่ซื้อข้าวนี้ให้ลูกๆกิน

ลัมลูบอกว่า รายได้เค้าไม่เท่ากับการไปทำงานในเมืองหรอก แต่เค้าไม่ชอบในเมือง บางคนก็ไม่เห็นด้วยนะที่เค้ามาทำแบบนี้ แต่เค้าก็พิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่ามันดียังไง มีเพื่อนเค้ากลับมาบ้านที่ต่างจังหวัดและมาทำเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นตั้ง 6 คน

อย่างที่บอกว่าลัมลูอยากให้เป็นการท่องเที่ยว เลยต้อนรับแขกเสมอ ทั้งชาวไต้หวันและต่างชาติ มาพักอาศัยและมาทำงานแบบเรานี่แหละ และจะพาทัวร์ไปดูท้องนา และธรรมชาติแถวนี้

IMG_9633

รู้ละ เรนจัดให้เรามาอยู่กับคนที่ทำด้านท่องเที่ยวเชิงเกษตรทั้งหมดเลยนะเนี่ย!!!

ลัมลู เป็น eco-tourism ส่วนเพจก็ทำบ้านเป็น farmstay

เยี่ยมเลยอ่ะ เรากำลังสนใจเรื่องนี้อยู่ด้วย อยากทำให้ที่สวนของเราเป็นแบบนี้เหมือนกัน สร้างที่พักที่อยู่ได้สะดวก แล้วให้คนมาสัมผัสประสบการณ์การเป็น Farmer

จริงๆแค่เสาร์อาทิตย์ ก็น่าจะพอแล้วสำหรับคนเมืองที่ไม่ค่อยมีเวลา

จบการสนทนาห้าทุ่มกว่าเช่นเคย
ขอบคุณที่โลกนี้มี google translate ที่ทำให้เราคุยกับลุงป้าน้าอา บนดอยแห่งนี้ได้

 

วันนี้มีแผ่นดินไหวด้วย แบบที่คุณคังเคยบอกไว้ก่อนเรามาที่นี่ ว่าแถบนี้มีแผ่นดินไหวเรื่อยๆ
นี่คือข้อความแจ้งเตือนแผ่นดินไหว ที่ถูกส่งเข้ามายังมือถือเรา แม้มือถือของชัยที่ไม่ได้ใส่ซิม ก็ยังได้รับข้อความเตือนภัยได้เหมือนกัน

IMG_9503

Day4 Cilamitay นาข้าวบนดอยของชาวพื้นเมือง

ตอนเช้าว่างถึง10โมง

ชัยขี่มอไซค์แว๊นไปกับอาม่าแม่ของเพจ เพื่อไปดูแปลงปลูกผักของอาม่า แต่เรากะเปิ้ลไม่ได้ไป นั่งแพคกระเป๋าเตรียมออกจากที่นี่ เพื่อขึ้นไปอยู่กับชนเผ่าอะบอริจิ้นบนเขา

เนื่องจากไม่รู้อนาคตว่าที่พักเราจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า เมื่อวานเราเลยซักผ้าให้หมดทุกชิ้น

และเนื่องจากเราไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่ ไม่มีเวลามารอตากผ้าหลายรอบ เราเลยประหยัดเวลาด้วยการไม่แยกผ้าเลย ซักรวมกันหมดทุกชนิด แล้วน้องเปิ้ลก็จะซักพร้อมกันกับเราด้วย

“พี่ซักรวมหมดทุกอย่างเลยนะ ทั้งเสื้อ กางเกง ชุดชั้นใน ถุงเท้า” เราบอกเปิ้ลไว้ก่อน

“หนูไม่ถือ” ตึ่งงงง โดนใจ ไม่คิดว่าจะเจอคนไม่แคร์เรื่องแยกผ้าแบบเรา

สรุปว่าเป็นการซักทั้งเสื้อ กางเกง ชุดชั้นใน ถุงเท้า ของทั้งสองคนพร้อมกันในถังเดียว

รู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกันอะไรอย่างงั้นเลย

วันนี้เรนพาขนกระเป๋าสัมภาระ มาแวะที่โรงสีข้าวของเรนก่อน

ได้เจอป่ะป๊าเรนอีกรอบ กำลังนั่งชงชาอย่างปราณีตมากๆ และชวนพวกเราดื่มชาด้วย

1

หน้าตาป่ะป๊าจะนิ่งๆแต่เหมือนอมยิ้ม ค่อยๆชงอย่างชิลๆ นี่คือสโวไลฟ์ของจริง

ก่อนจะพาขึ้นเขา เรนมีธุระ นัดเจอกับเจ้าหน้าที่เกษตรของรัฐบาล เพื่อมาดูนาข้าวของเกษตรกรคนหนึ่ง

แล้วก็หิ้วเราสามคนติดสอยห้อยตามไปด้วย นาข้าวตรงนี้เขียวขจีสบายตามาก มีร่องน้ำคอนกรีตทันสมัย สะอาด ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไทย

IMG_9331IMG_9332

การที่เราติดสอยห้อยตามเรนไปนี่แหละ ได้เรียนรู้อะไรมากเลย

คือเรนเป็นหัวหน้ากลุ่มเกษตรกร มีเกษตรกรในกลุ่มอยู่ 40 คน พื้นที่นาข้าวทั้งหมดรวมได้ 340ไร่

เมื่อข้าวของคนใดในกลุ่มมีปัญหา เรนจะเป็นคนติดต่อเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาสำรวจ อย่างวันนี้ ก็เข้ามาจับแมลงที่ระบาดอยู่ไปส่องกล้องดูว่าเป็นตัวอะไร แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาบอกว่าต้องควบคุมยังไง

IMG_9329IMG_9324

ดีอ่ะ การที่มีคนคอยติดต่อระหว่างเกษตรกรกับรัฐบาลแบบเรน มันทำให้การทำเกษตรราบรื่นขึ้น มีปัญหาก็มีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดู ช่วยแก้ไขอย่างถูกวิธี และตรงจุด

ส่วนเรา ถ้าพบอะไรผิดปกติก็ดิ้นรนด้วยตัวเอง ไปsearchเอา หรือถามคนอื่นๆในเนต ซึ่งจริงๆแล้ววิธีแก้ไขที่เราsearchเจอมันจะถูกต้องแค่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่เวิร์คก็ลองวิธีอื่นไปเรื่อยๆ

แล้วเรนก็ขับรถขึ้นเขามา อธิบายว่าเราจะอยู่บนดอยนี้ 2 คืน อยู่กับแม่ของลัมลู ที่จริงเราเคยเจอลัมลูแล้วที่ร้านกาแฟในงานแชร์เรื่องรถไฟ เป็นผู้ชายอ้วนๆ เรนเรียกแม่ลัมลูว่าก่วงม้า เป็นชาวอะบอริจิ้น หรือชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของไต้หวัน

IMG_9355

เรนส่งเราที่บ้านของน้องสาวก่วงม๊า เค้าทำเป็นโฮมสเตย์ มีห้องนอนเหมือนห้องใต้หลังคา คือฝ้าห้องนอนจะเอียงๆ ห้องน้ำก้อใต้หลังคา เวลาอาบน้ำต้องยืนตรงจุดที่หลังคาสูงที่สุด ไม่งั้นก็ต้องนั่งยองๆอาบไปเลย

IMG_9356

เที่ยงๆก่วงม้าพาเดินไปกินข้าวที่บ้านเค้าเอง อยู่อีกหลังห่างไปประมาณ 300เมตร เป็นบ้านจริงๆ ไม่ได้ตกแต่งสวยเพื่อให้ใครมาพัก อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ริมลำธาร มีเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหลตลอดเวลา ที่ชอบคือหมอก ปกคลุมบนยอดเขาทุกทิศทาง ทุกทิศทางของเราตอนนี้เป็นภูเขา

IMG_9364IMG_9352

ไปถึงปั๊บก็กินข้าวที่ก่วงม้าทำไว้ให้ มีกับ2-3อย่าง ไม่เยอะเท่าบ้านเพจ แต่แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วล่ะ

จู่ๆก็คิดถึงชานมไข่มุกมาก อยู่บนดอยไม่มีให้กิน

ตั้งแต่หมินจงซื้อให้วันแรกนั้น เราก็ได้กินอีกทุกวัน จนติดแล้วเนี่ย

ก่วงม้ามีแมวชื่อลูลู่ และหมาชื่อหมาซื่อ

ตอนนี้ลัมลูไม่อยู่ ไปไทเป กลับมาพรุ่งนี้

ก่วงม้าจะเป็นผู้ปกครองเราตลอดสองวันนี้ เป็นแม่ที่ยังดูไม่แก่เลย ออกจะแข็งแรงเปรี้ยวเพีียวพ๊าว แต่งตัวสีสันมาก และที่สำคัญคือสกิลภาษาอังกฤษของก่วงม้านั้นเป็น 0

IMG_9466

แต่โชคดีที่ก่วงม้าไฮเทค ใช้สมาร์ทโฟนจึงใช้ google translateได้คล่อง ดังนั้นเราเลยคุยกันด้วยgoogleตลอดเกือบจะทุกคำ ก่วงม้าแทบไม่เคยพูดกับเราโดยตรง เขาจะพูดใส่มือถือ แล้วยื่นให้มือถือพูดกับเรา

ที่นี่ไม่มีWifi และสัญญาณ 4Gก็ไม่ค่อยชัด เราจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้ไปซักพัก และมีปัญหาในการใช้googleแปลด้วย เพราะแอพมันต้องใช้เนต

พอสัญญาณเนตอ่อนมันก็จะไม่ค่อยแปลให้ละ ชีวิตบนดอยมันก็เริ่มสนุกตรงนี้แหละ

เราได้ใช้ภาษาไต้หวันคำสั้นๆที่เคยจดจำมาก่อนหน้านี้มากขึ้นก็ตอนนี้แหละ

ห่าวซือ ห่าวเฮอ ห่าวหวาน

กินข้าวเสร็จก็นั่งคุยกันต่อ

ขนาดกับข้าวของก่วงม้าไม่เยอะมากมาย เราก็ยังกินไม่หมดอยู่ดี

น้องเปิ้ลบอกก่วงม้าว่าอิ่มแล้ว และบอกว่าอ้วนขึ้นมากตั้งแต่มาที่นี่

ก่วงม้ามองหุ่นเปิ้ล แล้วมือถือก่วงม้าบอกว่า “เธอไม่อ้วน ฉันไม่ชอบคนอ้วน เคยเห็นแบบลัมลูมั้ย”

ฮ่าๆๆ ก่วงม้าเป็นคนตลกพอสมควรเชียวล่ะ

แม้googleจะแปลคำพูดออกมาได้แบบทื่อๆไร้อารมณ์ เราก็รับรู้ได้ถึงความอารมณ์ดีของก่วงม้า

บ่ายสามวันนี้ก่วงม้าแพลนไว้ว่าจะพาเราไปถอนหญ้ากัน แต่ฝนดันตกเลยยกเลิก

ก่วงม้าดูกระอักอ่วนที่ต้องบอกเราว่าไม่มีอะไรทำตอนนี้ เราเลยบอกไปว่า

“ไม่เป็นไร พวกเราจะทำการบ้าน” ซึ่งก็คือการสรุปเนื้อหาดูงานที่ดินพอกหางหมูไว้ก่อนจะมาถึง Fuliนั่นเอง แค่นั้นก่วงม้าก็ทำหน้าโล่งอกขึ้นมาทันที แกคงกลัวพวกเราเบื่อที่ไม่มีไรให้ทำ

ตลอดบ่ายพวกเราเลยรวมตัวกันหน้าห้องนอน นั่งพื้นเปิดคอม แล้วสรุปทุกสิ่งอย่างที่ไปดูมาพร้อมพวกไข่เอินจนหมดสิ้น โล่งเลย ถึงเวลากินข้าวเย็นพอดี

มื้อเย็น มีญาติๆของก่วงม้าซึ่งเป็นชาวอะบอริจิ้นเหมือนกันมากินข้าวกับเราด้วย น่าตื่นเต้นมาก

ทีนี้เราได้ใช้googleให้แบตหมดกันไปข้างนึงเลย

ก่วงม้าชอบร้องเพลง พอสบโอกาสก็เปิดYoutubeขึ้นมาร้องโชว์ ไฮเทคมากมีไมค์Bluetoothด้วย!!

IMG_9373

ไมค์สีชมพูแวววาว พอไมค์ติดขัดก้ไม่เป็นไร เพราะก่วงม้ามีสำรองอีกหนึ่งอันค่ะ! ไม่ธรรมดาจริงๆคุณแม่ชาวพื้นเมืองคนนี้

“ถึงเวลาแล้ว ที่คุณต้องเรียนรู้ภาษาของพวกเรา” เสียงผู้หญิงในมือถือก่วงม้าบอกเรา

แล้วก็ทุกคนก็เริ่มสอนภาษาพื้นเมืองให้มากมาย เป็นภาษาของเค้านะ เราไม่สามารถเอาไปใช้ได้ตอนลงดอย

คำศัพท์ที่ก่วงม้าและญาติๆสอน ได้แก่

มาลานั่ม มาลาโฮ้ว มาลาฟิ = ข้าวเช้า ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น
มาฟูเต๊ะ = นอน
ง่ะอ้ายโฮ = หนีฮ่าวมา = สบายดีมั้ย (ก่วงม้าบอกว่าเอาไปทักทายลัมลูพรุ่งนี้นะ)
อะไร่ = เชี่ยๆ = ขอบคุณ
ฟันจ้าไร = ห่าวหวาน = สนุก
ง่ะอ๊าย่าย = very good
ชิมาลัย = สวย
มาลาซั่ม = เมา
มิมิเงิน = นิดนึง (ใช้ตอนกินเหล้า พูดว่ามิมิเงินนนน คือจิบๆ ไม่ต้องหมดแก้ว)

ก่วงม้าฉลาดมาก ที่สอนคำพวกนี้ เราจำกันได้หมดทันที และมันมีประโยชน์มากๆๆๆๆ

อย่างน้อยทุกครั้งที่จะนัดกินข้าว ก็ไม่ต้องใช้googleแล้ว

วงสนทนาหลังข้าวเย็นก็จบลงตอนห้าทุ่ม แยกย้ายไปมาฟุเต๊ะได้

กินข้าวกันจนดึกอีกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นราบหรืออยู่บนดอย ก็ยังคงต้องนั่งคุยเฉยๆหลังจากกินเสร็จอยู่ดี

นี่ขนาดเราไม่มีภาษาที่จะสื่อสารกับพวกเค้าได้นะเนี่ย!!

คืนนี้บนดอย เราได้ข้อคิดว่า Google translate เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำลายกำแพงระหว่างคนต่างชาติต่างภาษาได้อย่างแท้จริง

DCIM101GOPROGOPR7953.

Day3 โดรนใส่ปุ๋ยและวันเก็บเกี่ยวฝรั่ง

ตีห้าครึ่ง หมินจงเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องพวกเรา

เพราะชัยชวนให้หมินจงมาเอาของที่ระลึก เป็นผ้าขาวม้า1ผืน

หมินจงถามว่า “มันใช้ทำอะไร”

เออนั่นสิ ตอบยากจริงๆ จริงๆมันก็ใช้ได้ทุกอย่าง เช็ดตัว นุ่งแทนกางเกง โพกหัว ห่มตัว มัดเอว

หมินจงก็งง ว่าทำไมมันสารพัดประโยชน์เช่นนี้

หมินจงพามาที่ทุ่งนาเดิมที่มาวันก่อน มาพบกับเพื่อนเค้า เป็นเจ้าของโดรน6ใบพัดใหญ่ๆอันนึง

โดรนนี้เพื่อนหมินจงให้ยืมมาลองใส่ปุ๋ยดู สามารถใส่ได้ทั้งปุ๋ยและยาทีละ 20 กก. แต่ต้องเป็นของเหลว

โดรนมีGPSติดอยู่ ตอนแรกเริ่ม เพื่อนหมินจงจะมาร์คตำแหน่งอาณาเขตนาข้าวที่อยากจะใส่ปุ๋ย โดยใช้แอพในSmart phone มาร์คจุดตามแผนที่ ทีนี้แอพนั้นจะวางแผนการบินของโดรนเป็นเส้นๆกลัับไปกลับไป ให้บินไปใส่ปุ๋ยทั่วทุกอณูของแปลงข้าว

พอเริ่มออกตัว เสียงดัง อย่างกะเฮลิคอปเตอร์น้อยๆ โดรนจะบินไปตามเส้นทางที่กำหนดมะกี้ เค้ากำหนดให้บินสูงจากพื้นประมาณ 2 เมตร ระหว่างบินก็สเปรย์ปุ๋ยน้ำออกมาด้วย ฟุ้งกระจาย ต้นข้าวโบกสะบัดตามแรงลมของใบพัดโดรน

บินไปบินกลับจนกระทั่งปุ๋ยหมด ก็จะกลับมาเติมปุ๋ยใหม่ แล้วมันก็ฉลาดรู้ไปสเปรย์ต่อที่จุดสุดท้ายมะกี้ด้วย

ช่างเป็นการใช้โดรนได้มีประโยชน์มากๆ ใส่ปุ๋ยและยาให้ต้นข้าวเสร็จภายในไม่กี่นาที

คลิปวิดีโอโดรนบินใส่ปุ๋ย

ระหว่างปล่อยโดรนมันบินไป หมินจงโชว์รูปรวมหน้าของตัวเองที่มีทรงผมไม่ซ้ำกันซักแบบ

เห็นโจ๋ๆแบบนี้เขาก็เก่งเหมือนกันนะ อายุแค่นี้เอง ดูมุ่งมั่นตั้งใจ

เราแอบไปส่องfacebookมาเมื่อคืน หมินจงมักจะโพสนั่นนี่เหมือนคนไทยเรานั่นแหละ

แต่รูปที่เค้าโพสนั้นมันเป็นทุ่งนามั่งล่ะ รูปเค้ากำลังใช้เครื่องจักรใหญ่ๆวิ่งบนท้องนามั่ง

มีทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก แต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นงานที่เค้าภาคภูมิใจ

แค่ดูเฟซบุคหมินจง เราก็รู้สึกภูมิใจในความเป็นเกษตรกรของตัวเองขึ้นมาเลย

มันน่าชื่นใจเวลาได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกาย

แล้วผลผลิตมันก็ออกมาเป็นชิ้นเป็นอันให้คนอื่นได้กิน

เดือนหน้าหมินจงจะไปพัทยา เค้าอยากกินไอติมผัด

โอเค ถ้าแวะมาเที่ยวกทม.ด้วย เราสัญญาจะพาไปกิน

เสร็จจากการดูโดรน หมินจงพาไปเลี้ยงน้ำเลี้ยงหนมในเซเว่น แล้วขับรถพาเราไปหาเรนที่ออฟฟิซ

นี่ถ้าไม่ได้ขนมเซเว่นครั้งนั้น เราแย่แน่ๆเพราะงานต่อจากนี้มันเหนื่อยจริงๆ

ขอบคุณมากหมินจงเอ๊ย

ที่ออฟฟิซเรน จริงๆมันไม่ใช่แค่ออฟฟิซค่ะ มันเป็นโรงสีข้าว!!

เรนบอกว่าเดี๋ยวอีก 3 วัน จะให้พวกเรามาทำงานที่นี่…

แต่วันนี้จะไปช่วยพ่อของเรนเก็บส้มโอก่อน

เรนพามาที่สวนส้มโอของพ่อที่อยู่บนเนินเขา พามาส่งแล้วก็ขับรถออกไป ทิ้งเราไว้กับคนงานเก็บส้มโอคนอื่นๆ

หน้าที่เรามีแค่เด็ดส้มโอจากต้นแล้วโยนลงถัง แค่นั้นเลย แต่มันก็ไม่ง่ายนะ บางลูกก็สูงต้องปีนป่าย แถมปลูกบนทางลาดเอียงบนเนินเขาด้วย ทำให้ต้องเดินขึ้นลงเนินกันใหญ่ บางทีโยนลงถังแล้วถังดันคว่ำเพราะพื้นมันเอียง ก็วิ่งตามเก็บส้มโอที่กลิ้งลงเขาไปอีก

เราต้องโยนอย่างระมัดระวัง วางถังบนพื้นที่มั่นคง เพราะถ้าคว่ำทีนี่เหนื่อยหนักกว่าเดิม

เราได้ถ่ายรูปกิจกรรมกันช่วงแรกๆตอนที่ยังไม่เหนื่อย หลังจากนั้นไม่มีเรี่ยวแรงจะเปิดกล้องแล้ว ฮ่าๆ

นี่คือพ่อของเรน

มีนั่งพักคุยกับคุณป้าคนนึง คุณป้าช่วยนวดให้เปิ้ลด้วย เพราะสภาพหมดแรงมาก

แล้วชัยก็มานวดให้คุณป้าแทน ท่าทางจะชอบมาก

เราเก็บกัน 2-3 ชม. เหนื่อยที่สุดตั้งแต่มาที่นี่ ถังที่เต็มแล้วจะเอาส้มโอไปเทรวมที่ท้ายรถกระบะ

ระหว่างเก็บอยู่ ชัยก็เดินมาพูดว่า “เจิงจูหน่ายชา…”

โอ้ยยย ถูกต้อง หอบแฮกแบบนี้อยากกินเจิงจูหน่ายชา(ชานมไข่มุก)จริงๆ

ทำให้เราก็เพ้อถึงเจิงจูหน่ายชาไปด้วยเลย

เก็บไปได้ประมาณ3-4คันรถ ก็ถึงเวลาพักกินกลางวันเป็นข้าวกล่อง มีไ่ก่ย่างด้วย

กินอย่างหิวโหยเสร็จ เค้าก้อบอกว่า พวกเราไม่ต้องทำแล้ว เรนจะมารับกลับไป

ทันทีที่เปิดประตูรถเรน เราก็เจอบางอย่างอยู่ในถุง

อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาดังๆ “เจิงจูหน่ายชา!!!” เรนช่างรู้ใจกันสุดๆไปเลย

คำอธิษฐานหาเจิงจูหน่ายชา ที่พูดซ้ำแล้วซำเล่าก็เป็นผลสำเร็จ

เรนพาไปร้านคาเฟ่ซึ่งเคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อน ชื่อว่า Jiudongli Train Station

แต่ไม่ได้พามากินหรอก เพราะพวกเรามีชานมไข่มุกของเรนถืออยู่ในมือแล้ว

เรนพาเดินทะลุออกไปหลังร้าน พบกับวิวอลังการของ ท้องฟ้า ภูเขา ทุ่งนา รางรถไฟ สถานีรถไฟ ชานชาลา และเก้าอี้นั่ง

เห็นองค์ประกอบภาพแล้วก็ไม่รู้จะถ่ายเก็บกลับไปยังไงได้หมด อยากถ่ายให้มันเหมือนกับตาเห็น แต่ไม่มีทางทำได้สำหรับเรา ถีงเลนส์กล้องโกโปรเราจะกว้าง ถ่ายติดได้ทุกอย่างยกเว้นอารมณ์ ดูรูปที่ถ่ายมาแล้วมันช่างไร้อารมณ์จริงๆ

อารมณ์ชิลๆ ลมเย็นๆ ละมุนละไม

นี่มันเป็นฉากบ้านนอกคอกนาในละครได้เลยนะเนี่ย !!

คิดแล้วก็อยากชวนพวกเพื่อนที่ชอบถ่ายรูปมาที่นี่ ช่วยถ่ายเราอยู่ในรูปแบบได้อารมณ์หน่อยเถอะ

ตอนนี้ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าได้กลับมาFuliใหม่ จะมาที่นี่อีกรอบ

หรือถ้าต้องแนะนำสถานที่ให้เพื่อนที่มาไต้หวัน เราก็จะแนะนำจุดนี้ สวยขนาดนี้ต้องบอกต่อ

เรนคงตั้งใจให้เรามาพักเหนื่อย และชมสถานที่งามๆของ Fuli ด้วยก่อนจะกลับไปส่งที่บ้านเพจ

แผนที่ Jiudongli Train Station

Day2 Welcome Party at Paije House

<<< ตอนที่แล้ว Day2 Orange Daily Lily

ตอนบ่ายกลับมาที่บ้านเพจ ว่างแสนว่าง คิดซะว่าเป็นวันหยุดพักผ่อนหลังจากทำงานมา 2 อาทิตย์ติดละกัน

ได้แต่นั่งเล่นบอร์ดเกมกับเด็กๆ ลูกชายของเพจ

คนโตชื่อไรอัน แต่พวกเราเรียกตามเพจว่าเก่อเก๊อ พูดจารู้เรื่องมากๆ

คนที่สองชื่อรอย เราเรียกตี่ตี๊ หน้าตาดี แต่โคตรซนและกวนมากที่สุดในโลก

แต่ที่จริงเราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าอยากรู้ว่าเด็กพูดอะไร ก็ให้พูดใส่ google translate เด็กฉลาด ใช้สมาร์ทโฟนเป็นก็สามารถพูดจาบ๊องๆใส่โทรศัพทฺ์ให้เราฟังได้

เล่นจนไม่รู้จะเล่นอะไร เราเลยกลับเข้าห้องนั่งดูวิดีโอที่ถ่ายๆมาวันแรกๆ แล้วจดไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพื่อจะเอามาเล่าแบบนี้

ตี่ตี๊่อยากเล่นด้วยมากๆ บุกเข้ามาถึงห้อง แม้เราจะล๊อกแล้ว ก็ยังพยายามเรียกร้องให้ออกไปเล่นด้วย

ก็อยากเล่นนะ แต่พี่แก่แล้ว พี่เพลียง่าย

ตอนเย็นวันนี้เพจบอกว่าเราจะกินพิซซ่ากัน เดี๋ยวเรนจะพาเราไป เริ่มเย็นๆเลยออกมารอเรนหน้าบ้านเพจ

แต่เรนคงยุ่งมากเลยมาช้า ทำให้เราได้มีเวลาชื่นชมบริเวณบ้านเพจ

บ้านเพจใหญ่มาก ราวกับตึกแถวสามชั้น 5 ห้อง หน้าบ้านเป็นนาข้าวของเพจ

ชั้นสองที่เราอยู่กันเป็นห้องพักที่เพจทำเป็น Farmstay

เรานอนห้องเดียวกะน้องเปิ้ล(วันก่อนหน้านี้จะพักเดี่ยวตลอด) ส่วนชัยอยู่ห้องตรงข้าม

เราลองดูใน google map มันเขียนเป็นตัวจีน แปลว่า Green rice farmstay (map) ส่วนชั้นล่างก็เป็นที่พักของเขาเอง แยกส่วนกันชัดเจน

เพจบอกว่าที่บ้านมีคนอยู่ 15 คน !!

เราใช้ห้องครัวห้องกินข้าวที่เดียวกันกับคนในบ้าน ดังนั้นเวลากินข้าวบางทีเราก็จะได้นั่งร่วมโต๊ะกับสมาชิกในบ้านบางคน แล้วแต่ว่าใครจะหิวพร้อมเรา กินกับหลายๆคนแทบไม่ซ้ำหน้า แต่ก็ยังไม่เจอไม่ครบ 15 เลย บางทีเด็กก็วิ่งขึ้นมาตามเราลงไปกินข้าว

เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาจริงๆ ได้เห็นสภาพบ้าน อาหารและวัฒนธรรมการกินที่ของเค้า ว่างๆก็นั่งเล่นกับเด็กๆ

หน้าบ้านมีบริเวณเอาไว้ให้เด็กวิ่งเล่น ขี่จักรยาน ถัดจากถนนหน้าบ้านเป็นนาข้าวเขียวขจี บรรยากาศดีสุดๆ เป็นเด็กแถวนี้ได้วิ่งเล่นสูดอากาศบริสุทธิแบบนี้มันดีจริงๆนะ เห็นแล้วนึกถึงนาข้าวตามเชียงใหม่

สามีเพจเป็นชาวนาเหมือนกัน มีโรงเก็บของและเครื่องจักรอยู่ข้างๆบ้านใหญ่โต ส่วนเพจก็มีอีกอาชีพเสริมคือทำเต้าหู้ วันนี้ก็เอามาให้เรากินด้วย เป็นเต้นหู้สด จิ้มซอสกิน

คนที่Fuliจะปลูกผักกินเองทุก้าน หม่าม๊าของเพจก็ปลูก มีที่นาและที่ปลูกผักกระจายไปตามจุดต่างๆระแวกนี้ ที่เรานั่งรถผ่านกัน ข้างๆทางก็เป็นที่ของบ้านเขาซะเยอะ

วันนี้เราได้นั่งเล่นกับเด็กๆหน้าบ้าน เพจเป็นแม่ที่แกร่งมาก ต้องแข็งแรงแค่ไหน อึดแค่ไหน ถึงเป็นแม่ของเด็กวนทั้งสามคนนี้ได้ แต่เพจเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ โตเร็ว อย่างเหม่เหมอายุขวบกว่า วิ่งกระโดดโลดเต้น กินข้าวด้วยตัวเอง ได้ขึ้นลงบันไดด้วยตัวเอง ตามแม่ไปได้ทุกที่ เลี้ยงยังไงถึงได้แบบนี้

แล้วยังมีเด็กเรียบร้อยอีกคนในบ้าน ชื่อ อาพ่าง เป็นลูกของน้องชายของสามีเพจ
อาพ่างหล่อมากที่สุดในบ้านอ่ะ บอกเลย และเรียบร้อยที่สุดด้วย ภายใน 1 ชม.ที่เรานั่งดูเด็กเล่นกัน อาพ่างโดนตี่ตี๋แกล้งจนร้องไห้ 2 รอบละ

เพจบอกว่า ที่นี่มีแต่คนไต้หวันมาพัก ไม่ค่อยมีต่างชาติ

Facebook homestay ของเพจ
https://www.facebook.com/greenrice168

ตกเย็นมากๆ เรนก็มารับในที่สุด พร้อมด้วยหมินจง

การจะกินพิซซ่าได้นั้นต้องขับรถขึ้นเหนือไป 20 กว่ากิโล ไปยังอีกหมู่บ้าน คือ Yuli เพราะที่Fuliเล็กมากๆ ไม่มีพิซซ่าให้กิน เล็กขนาดที่ว่า 7-11ยังมีแค่สาขาเดียว

ระหว่างทาง เรนถามว่า พรุ่งนี้จะให้เราไปทำงานที่สวนส้มโอของป่ะป๊าของเรน แต่พรุ่งนี้หมินจงก็จะเอาโดรนมาโรยปุ๋ยให้นาข้าวของเค้า เราอยากไปอันไหนมากกว่ากัน

พวกเราตอบว่า อยากทำทั้งสองอย่างเลย เป็นไปได้มั้ย

เรนปรึกษาหมินจงซักครู่ ก็บอกว่า “งั้นตีห้าออกไปใส่ปุ๋ย เสร็จซัก 8-9โมง แล้วก็ไปเก็บส้มโอต่อเลย”

ก่อนจะไปกินพิซซ่า เค้าพาเราไปซื้อชานมไข่มุกอีกร้านที่อร่อยกว่าที่หมินจงซื้อให้เมื่อวาน

แล้วก็ไปกินเต้าหู้เหม็น(ที่เราเคยอุดจมูกรีบเดินผ่านสมัยไปเดินตลาดกลางคืนในไทเป) หมินจงบอกว่า มันเหม็น แต่มันอร่อยนะ อยากลองมั้ย

เอ้อ ลองก็ได้ เห็นในตลาดแถวยาวเชียว มันคงมีไรดี

ที่ร้านเต้าหู้เหม็น คนอื่นเขากินด้วยตะเกียบกัน แต่เรนขอช้อนมาให้ชัย ให้ชัยคนเดียว

เพราะอะไรรู้มั้ย..

ตั้งแต่2วันที่แล้ว ที่เพื่อนของเรนชื่อไค มารับเราไปนั่งกินข้าวกล่องหน้าสถานีHualien กินๆอยู่ชัยพูดขึ้นว่า “ใช้ตะเกียบไม่ค่อยเป็น”

พูดแค่นั้น แต่มันถูกบันทึกเข้าไปในสมองของไค และบอกต่อไปยังเรน และเพื่อนชาว Fuliคนอื่นๆอีก

วันนี้ชัยเลยได้รับช้อนมาหนึ่งอัน

…..ช่างเอาใจใส่ ละเอียดอ่อน

เป็นการกินเต้าหู้เหม็นที่ประทับใจในความใส่ใจของพวกเขามากๆ

ส่วนพิซซ่านั้น ซื้อกลับบ้านมากินที่บ้านเพจ วันนี้มีปาร์ตี้ต้อนรับพวกเราอย่างเป็นทางการด้วยพิซซ่า

ผู้ร่วมงานประกอบด้วย เพจ แม่เพจ ลูกทั้งสามของเพจ เรน หมินจง ฝ่านฟ๊าน

ฝ่านฟ๊านเป็นเจ้าของโรงแรมในตัวเมือง Fuli เลยพาแขกของโรงแรมมาด้วย 2 คน ชื่อ ชิง และมิเชล

ทำงี้ก็ได้ด้วย ชวนแขกของโรงแรมมานั่งกินข้าวกับพวกเรา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย

ความเป็นกันเองของคนที่นี่มันสุดจริงๆ

1

พิซซ่านั้นหมดอย่างรวดเร็ว แต่การสนทนายังไม่จบ ถ้าไม่ห้าทุ่มก็คงไม่เลิก เหมือนอย่างเมื่อคืน

เราว่าเค้าคงเห็นความสำคัญของการนั่งคุยกันมากๆเลยล่ะ เน้นหนักตอนกลางคืน

แล้ววันนี้ก็ได้เรียนรู้ว่า ภาษาไม่ใช่ปัญหา พวกเราสามารถคุยและหัวเราะเฮฮากันได้ เท่าที่ภาษามือ ภาษากาย และภาษาอังกฤษเท่าที่มีจะสื่อสารได้

ชัยก็ร้องเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ทำเอาคนไต้หวันฮือฮาว่าร้องเป็นด้วยหรอ

แล้วต่อด้วยการโชว์ต่อยมวยไทย สอนเด็กต่อยด้วย

โยงมาถึงเรื่องอาหาร ว่าเราก็ต้องกินเยอะมากกว่าวิชาการ มากกว่าการพบปะผู้คนด้วย

เปิ้ลพรีเซ้นท์ว่าตนเองชอบทำอาหารมาก เปิดรูปอาหารที่เคยทำให้ดู ปรากฎว่าทุกคนสนใจอยากกิน

ดังนั้นคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นี่เปิ้ลจะทำอาหารไทยให้กิน แต่แก๊งของเรนจะต้องไปซื้อวัตถุดิบมาให้

นั่งลิสกันชุลมุนว่าจะต้องใช้ไรบ้าง google translate ช่วยได้มาก

ตอนนี้เราเริ่ม Add เพื่อนที่นี่เป็นเพื่อนใน Facebookละ นี่ถ้า add คนที่ผ่านเข้ามาตลอดการเดินทางตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราน่าจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละเนี่ย

แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะสานต่อความสัมพันธ์ต่อไปอะเนอะ

บางคนก็เข้ามาเพื่อสอนอะไรเราบางอย่าง แล้วก็จากไปเท่านั้น

เรนถามเกี่ยวกับการเดินทาง “ไปไหนมาบ้างก่อนหน้านี้”

เรนบอกว่าพวกเราได้เจอคนเยอะมาก เหมือน’ละคร’เรื่องนึงเลย

อือ… มันคงเป็นละครเกี่ยวกับคน3คน เดินทางไปรอบเกาะไต้หวัน เพื่อเจอเกษตรกรหลายๆแบบ โดยมีกระทรวงเกษตรไต้หวันบงการอยู่เบื้องหลัง

และพวกเขาไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าเกิน 1 อาทิตย์

Day2 Orange Daily Lily

วันนี้วันอาทิตย์ เรนบอกว่า ไม่ต้องตื่นเช้าละ

“เราจะไปดูดอกลิลลี่ที่กินได้กัน”

แม้เมื่อคืนจะนอนดึก แต่เราก็ได้ตื่นสายวันนี้ ออกจากบ้านประมาณ 9 โมง

วันนี้มีเพื่อนไปเที่ยวด้วยเยอะแยะเลย ก็เป็นพวกที่เจอในร้านกาแฟเมื่อคืนทั้งนั้น

ดอกลิลลี่ที่ว่า ปลูกอยู่บนภูเขาชื่อ 60 stones mountain ดังนั้นพวกเรานั่งรถขึ้นเขากันไปเป็นขบวน

เพิ่งรู้ว่าบางคนก็ไม่ได้ทำงานที่ Fuli หรอก แต่เขาเป็นเพื่อนกัน เลยมาเที่ยวด้วย

ขึ้นเขาไปก็คดเคี้ยวชวนอ้วกพอสมควร ความรู้สึกเหมือนเราอยู่เชียงใหม่ แล้วกำลังขึ้นไปบนดอย

เอ้อ เหมือนไปม่อนแจ่มอะไรงี้ แล้วดอกลิลลี่สีส้มสวยๆก็ปลูกอยู่เต็มภูเขาบนนั้น สวยมากๆๆๆ

ปลูกกันทั้งเขา มีแค่ช่วง2เดือนนี้เท่านั้น โชคดีจริงๆที่ได้มาตอนนี้พอดี

ปกติแล้วชาวสวนจะมาเก็บดอกตอนตูมๆไปขาย เอาไปทำอาหาร ทำซุปได้

แต่รัฐบาลมีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมือง Fuli จึงจ่ายเงินให้กับเกษตรกรที่ไม่เก็บดอกลิลลี่ไปขายเป็นเวลา 2 เดือน ปล่อยให้ดอกลิลลี่บานเต็มภูเขา แล้วให้นักท่องเที่ยวได้มาดูกัน

มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมากเลย หลายเนิน แต่พวกเค้าไม่ได้หยุดถ่ายรูปกันแต่ละจุดนาน ถ่ายๆแล้วก็ไป

ยังคุยกันกับน้องเปิ้ลว่า ถ้าเป็นคนไทยมาเที่ยวละก็ บนเขานี้อยู่ได้ครึ่งวันเลย แต่เราอยู่กันค่ 1-2 ชม.

ลองซื้อดอกลิลลี่ชุบแป้งทอดด้วย เหมือนกินผักชุมแป้งทอด

ลงจากเขามาก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหาร โต๊ะจีนกลับมาอีกแล้ว

คราวนี้ไม่กลัวว่าอาหารจะเหลือ เพราะมีคนไต้หวันเป็นสิบ คนไทย 3คนเท่านั้น น่าจะกินหมด

วันนี้ชัยเริ่มโชว์สกิลการร้องเพลงให้คนที่นี่ฟังเป็นครั้งแรก ร้องตั้งแต่ลงจากเขา มาจนถึงร้านอาหาร

ลืมเล่าไปว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ชัยจะโชว์ลูกคอตลอด ไม่ว่าจะนั่งรถบัส นั่งกิน ปาร์ตี้ที่ TARI ทุกคนทั้งไทย ไต้หวัน ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ล้วนได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะจากชัยหมดแล้ว ทุกคนจะตื่นเต้นมาก

ส่วนเราเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้วแหละ ปล่อยคนไต้หวันฮือฮาถ่ายคลิปอะไรกันไป

เราก็คีบข้าวเข้าปากไป นี่มันเหตุการณ์เดจาวูชัดๆ ฉายซ้ำมาเป็นสิบๆรอบแล้ว

อ่านต่อตอนต่อไป Day2 Welcome Party at Paije House >>>

Day1 นาข้าวของMinchung @Fuli

ตีห้าครึ่ง แต่ฟ้าสว่างแล้ว หมินจงขับรถเลี้ยวเข้ามาที่บ้านเพจ มารับตามเวลาที่บอกไว้แบบพอดีเป๊ะๆ

เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

พวกเรา3คน แยกจากเจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัย TARI ขึ้นรถไฟลงใต้มาจนถึง Hualien ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหาเราชานชาลา เราคิดว่าเขาจะเป็น Farmer A ที่อยู่ในกระดาษScheduleที่พกมาจากไทย

“ยินดีที่ได้รู้จัก เรนใช่มั้ย” เราถาม

เค้าส่ายหัว บอกว่า ไม่ใช่ๆ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อJack เรนให้มารับ

รับไปนั่งอยู่ข้างล่างสถานี ใจดีจัง ซื้อชานมให้กินด้วย แล้วบอกว่าเดี๋ยวอีกคนมารับ

..ผ่านไปครึ่งชม. ผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามา เราก็ทักทาย “หวัดดี นี่เรนใช่มั้ย”

คำตอบเหมือนเดิม ไม่ใช่ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อไค จะมารับเราไปอีกทอด

แล้วJackก็จากไป คือหน้าที่Jack มาเพื่อพาเราลงจากชานชาลามานั่งรอไคตรงนี้นั่นเอง

ไคพาพวกเราออกไปซื้อข้าวกล่องมานั่งกินหน้าสถานีเดิม อีกประมาณชั่วโมงกว่าเราถึงจะไปขึ้นรถไฟ

ระหว่างกินไคก็บอกว่า “เรนเค้ายุ่งมาก เลยให้มารับแทน”

แล้วถามว่าชื่อไรกันมั่ง กินอะไรไม่ได้มั่ง จะส่งไปบอกคนที่ต้องเตรียมอาหารให้เรา

(อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่นี่จริงๆ)

เมย์ แพ้แอลกอฮอล์

เปิ้ล กินทุกอย่างยกเว้นเนื้อ

ชัย แพ้ต้นหอมที่ยังไม่ผ่านการปรุงอาหาร (วันนี้ก็ดันไปชิมต้นหอมสดๆที่สวน TT)

ไคพาเรานั่งรถไฟกันไปอีกชั่วโมงกว่า ก็ถึงสถานี Chishang

ความจริงเมืองที่เราอยู่ชื่อว่า Fuli แต่สถานีFuliเล็กๆ รถไฟขบวนที่เรานั่งจะวิ่งผ่านไปเลย ไม่จอด เราเลยต้องลงที่นี่แล้วนั่งรถย้อนกลับไป

ที่นี่จะมีคนชื่อเรนมารับแล้วใช่มั้ยนะ

ทันทีที่ไปถึง ก็เจอคน7-8คนเข้ามารุมทักทายและช่วยถือกระเป๋า เห็นแววแล้วว่าเราคงได้รู้จักคนใหม่ๆอีกเพียบเลยที่นี่

มีผู้หญิงคนนึงชื่อว่าเพจ แนะนำว่าเดี๋ยวพวกเราจะไปพักที่บ้านเค้า

“เหนื่อยมั้ย เมื่อเช้าตื่นกันกี่โมง” เพจถาม

“ประมาณ 7โมง” เราตอบ เพจตกใจเล็กน้อย

เพจชี้ไปทางผู้ชายอีกคนที่ยืนข้างๆ แล้วบอกว่า ”พรุ่งนี้เขาจะพาเธอไปที่นาข้าวของเค้า ตีห้า โอเคมั้ย”

เราพร้อมใจกันตอบ “โอเค๊ๆๆๆ” เริ่มงานเช้ามากๆๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาปฏิเสธ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นรถ ชัยโดนดึงหายไปรถคันไหนก็ไม่รู้ ส่วนเรากะน้องเปิ้ลนั่งรถของเพจมา

เพจอายุ 35 ปี พาลูกสาวอายุ 1ขวบ8เดือนมารับเราด้วย เพจเรียกว่า เหม่เหม แปลว่าน้องสาว เพราะเค้ามีพี่ชายอีกสองคน

เราแอบคิดในใจว่า เด็กเก่งเนอะ ออกมาลุยกลางดึกแบบนี้กะแม่ได้ด้วย

หึๆ ต่อมาเราถึงรู้ว่า เหม่เหมทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอีกมากกก

ระหว่างนั่งรถ เพจถามพวกเราว่า อายุเท่าไหร่ มีแฟนมั้ย แต่งงานยัง

เมื่อถึงบ้านเพจ รถที่ชัยนั่งมาก็เข้ามาจอดด้วย

ก่อนจะขนกระเป๋าขึ้นห้องไปพักผ่อน ก็นัดหมายกันอีกรอบ ว่าตีห้าครึ่งพ่อหนุ่มที่ชัยนั่งรถมาด้วยมะกี้จะมารับเรา

เราถามเค้าว่า ชื่ออะไร

“หมินจง” เค้าตอบ

เราทวนชื่อเค้าอีกครั้ง เพื่อจะได้จำได้ หมินจงก็บอกว่า “Yeah yeah ” เป็นการบอกว่าเราออกเสียงถูกต้องแล้ว

หมินจงบอกว่า พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราใช้ app Google translate กันได้ แล้วก็เปิดแอพให้ดู

หมินจงทำหน้าดีใจ ประมาณว่ารอดตายแล้ว “Okay!!!!” ปกติเค้าก็ใช้เหมือนกัน

นี่คือภาพที่ถ่ายตอนพบกันที่สถานี

ตัดภาพกลับมาที่เช้าวันนี้ หมินจงกำลังขับรถพาเราออกไปทำงานกะเค้า

ตอนแรกก็พาไปที่บ้านของหมินจงก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นรถตู้เล็กๆที่ข้างหลังไม่มีเบาะนั่ง เอาไว้ขนของเท่านั้น

งานวันนี้คือจะไปใส่ปุ๋ยกัน หมินจงให้ชัยช่วยขนปุ๋ย และเครื่องพ่นปุ๋ยขึ้นรถตู้

ที่บ้านมีโรงเก็บของ เก็บปุ๋ย แต่จะมีโรงงานของเขาแยกไปอยู่อีกที่ (บ้านหมินจงมีรถยกด้วย)

หมินจงพาไปกินข้าวเช้าก่อนที่ร้านเล็กๆแถวบ้าน เป็นหัวไชเท้าผสมกับแป้ง ราดซอสดำๆ พร้อมด้วยแซนด์วิชก้อนใหญ่มากอีกคนละก้อน เรากินแค่ขนมหัวไชเท้าก็อิ่มมากละ เก็บแซนด์วิชไว้ก่อน

ระหว่างขับรถไปที่นา เรากะเปิ้ลนั่งข้างหลังเคียงข้างกระสอบปุ๋ย ให้ชัยนั่งหน้าคู่กับหมินจง

วิวระหว่างทางสวยมาก เต็มไปด้วยท้องนา ที่นี่คงจะเน้นปลูกข้าว แปลงของหมินจงห่างจากบ้านเค้าไปประมาณ 20 นาทีได้

ระหว่างทางก็ได้สอบถามประวัติกันไปมา (คุยกันด้วยGoogle translate ผสมภาษามือ)

หมินจงอายุ 24 เท่านั้น นาข้าวที่เรากำลังจะไปนี้ขนาด 18.75ไร่ และมีอีกแปลงอยู่ที่อื่น ขนาด 37.5ไร่

แต่ก่อนมีมากกว่านี้ แล้วขายไป หมินจงดูแลเองหมดเลย เป็นการปลูกข้าวแบบปกติ ยังไม่ใช่ข้าวออแกนิก

หมินจงจะหยิบอะไรบางอย่างจากกระปุกเล็กๆเหมือนกระปุกหมากฝรั่ง แล้วเอามาเคี้ยวๆตลอดเวลา เราสงสัยเลยชะโงกไปถามว่ากินไร

หมินจงบอกว่า “เป็นบุหรี่แบบเคี้ยว…”

บุหรี่แบบเคี้ยว?? เป็นครั้งแรกที่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย ไม่ต้องสูบให้เหม็นควัน ใช้เคี้ยวแทน

..แต่ห้ามกลืนนะ ต้องบ้วนออกมา

เราบอกไปว่า หมินจงหน้าเหมือนคนไทยมากๆ และไม่เหมือนชาวนาเลยด้วย…

ใช่…หมินจงเป็นชาวนา

หน้าตาน่ารักแบบนี้เหมือนเด็กฮิปฮอป หรือเด็กมหาลัยมากกว่า ..นี่ถ้าเอาหนวดออก จะดูเด็กมากเลยนะเนี่ย

งานอดิเรกชอบเล่นเบสบอล รูปในFacebookก็เป็นรูปตอนเด็กๆใส่ชุดเบสบอล จ้ำม่ำตั้งแต่เด็กเลย

เดี๋ยวเดือนหน้า (ต.ค. 2560) หมินจงจะไปเที่ยวพัทยากับเพื่อนๆด้วย

ถึงนาข้าว หมินจงพ่นปุ๋ยให้ดูเป็นตัวอย่าง ปกติจะมาใส่ปุ๋ย 1 ครั้ง ทุกๆ 2 อาทิตย์ ช่วยพ่อทำมาตั้งแต่อายุ 13ละ

ชัยเห็นหมินจงทำแล้วดูไม่ยาก เลยเสนอตัวช่วยทันที “ok i can , i help you”

ในที่สุดก็ถึงช่วงเวล่ที่ชัยรอคอยมาตลอด ที่ผ่านมาเนื่องจากภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เลยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามาลงมือทำงานกับเกษตรกรแล้ว น่าจะคล่องเลยล่ะ

ชัยจึงได้ลงไปลุยในแปลง แบกเครื่องพ่นสลับกับหมินจงคนละรอบ

หน้าที่ของพวกเราผู้หญิงก็คือ แกะกระสอบปุ๋ย ทุบๆปุ๋ยที่จับเป็นก้อนให้แตกๆแล้วกรอกใส่เครื่องพ่น

ตรงก้อนๆนี้สำคัญมาก เพราะมันจะไปอุดตันทำให้พ่นไม่ได้ ต้องบี้ให้ละเอียด

เปิ้ลบอก “งานหนักให้ผู้ชายทำ งานเบาให้ผู้ชายช่วย”

ระหว่างที่พ่นปุ๋ย หมินจงจะคอยสังเกตุสุขภาพต้นข้าวของตัวเองด้วย

แล้วมานั่งแกะใส้ต้นข้าวให้ดูว่านี่เป็นช่วงที่มันกำลังตั้งท้อง

หมินจงหันมาบอกพวกเราผ่านเสียงผู้หญิงจาก google translate

“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ”

ตอนนั้นเราสงสัยเหมือนกันนะ ทำไมกระทรวงเกษตรของไต้หวันถึงจัดให้เรามาอยู่ในเมืองที่คนส่วนใหญ่ปลูกข้าว ทั้งๆที่เรา3คน ก็ไม่มีใครปลูกข้าวซักคน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เริ่มจะเข้าใจละว่าเค้าให้เรามาเรียนรู้อะไร …มันไม่ใช่แค่เกษตรกรรมค่ะ

พอพ่นบริเวณนึงเสร็จ หมินจงจะขยับรถไปอีกนิดนึงเพื่อพ่นบริเวณถัดไป พักกินน้ำบ้างเป็นระยะ

จนทั่วแปลงก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็กลับบ้านหมินจงเพื่อไปอาบน้ำ หมินจงกับชัยเหงื่อท่วมตัว

ระหว่างทางกลับ หมินจงหันมาถามว่า ต้องการเจิงจูหน่ายชามั้ย

ทีแรกก็ฟังไม่ออกหรอก แต่ก็บ้าใบ้กันไปจนกระทั่งเข้าใจว่า…

อ๋อออ “เจิงจูหน่ายชา” คือชานมไข่มุก

หมินจงขับรถมาจอดหน้าร้านชานมบ้านๆร้านนึง ลงไปซื้อให้คนละแก้ว ถือดูดกินระหว่างทางไปบ้าน

…เฮ้อ..อร่อยจัง

และตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา นั่นคือคำศัพท์ตลกๆที่เราพูดทุกวัน วันละหลายๆรอบ

จนกระทั่งกลับมาแล้วเราก็ยังพูดอยู่

เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….

ทันทีที่ถึงบ้าน หมินจงพาเข้าไปดูในห้องเย็นที่เก็บข้าวเปลือก มีกระสอบข้าวใหญ่ๆตั้งอยู่เป็นสิบๆกระสอบ

กระสอบนึงมีข้าวเปลือกประมาณ 600kg กระสอบละประมาณ40,000NT$ ทะยอยขาย

หมินจงหยิบห่อข้าวห่อละ 2 kg ที่แพคพร้อมขายแล้วเอามาให้ดู แล้วพูดว่า

“My rice…” …ข้าวของฉัน

น่าเสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายวิดีโอโมเม้นท์นั้นไว้

มันเป็นหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนึงที่โคตรจะภูมิใจในข้าวที่ตัวเองปลูกมากับมือ

แต่ถึงเราจะไม่ได้ถ่ายVDOไว้ แต่เรามั่นใจว่าจะจำสีหน้านั้นไปได้อีกนาน

หมินจงให้ข้าวมาคนละห่อ ให้เราเอากลับมากินที่ไทยด้วย

แพคเกจนี้เขาออกแบบเอง

จากนั้นก็เข้าไปนั่งพักในบ้าน เจอแม่และน้องสาวของหมินจง พอหมินจงอาบน้ำล้างเหงื่อเสร็จก็พาเรากลับไปที่บ้านเพจกัน

เพจถามเราว่า “เธอไหวมั้ย หน้าดูเหนื่อยมาก อยากพักมั้ย”

เราว่าเราก็ไม่เหนื่อยอะไรเลยนะ ฮ่าๆๆ อาจจะแค่หน้าของคนที่นอนไม่พอเมื่อคืนนี้

ที่บ้านเพจ เราได้เจอผู้ชายอีกคนนึง มาอธิบายให้ฟังคร่าวว่า 12วัน 11คืน ที่อยู่ที่ Fuli นี่เราต้องไปนอนที่ไหนบ้าง

15,16,17,18 ก.ย. นอนที่บ้านเพจแห่งนี้
19,20 ก.ย. จะขึ้นไปอยู่นเขากับชาวพื้นเมือง(Aborigin)
21,22 ก.ย. ไปอยู่ที่Officeของเรน
23,24,25 ก.ย. ไปนอนที่ร้านกาแฟของเนว

โอเคค่ะ เราได้กำหนดการอนาคต 12วันนี้มาแล้ว แม้มันจะบอกแค่ที่นอนก็เถอะ เรายังไม่รู้อยู่ดีว่าทำอะไรบ้าง

แต่ที่รู้ๆคือ Farmer Aที่อยู่ในScheduleของเราทีแรกนั้น ไม่ใช่คนหนึ่งคน หากแต่เป็นกลุ่มเพื่อนเกษตรกรหนุ่มสาวที่ Fuli เมืองเล็กๆแห่งนี้ นำทีมโดยเรน ผู้ที่กำลังอธิบายเราอยู่นี่

(ในที่สุดเราก็ได้เจอเค้า!! ที่จริงเรนมารับเราที่สถานีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่ได้แนะนำตัวกัน)

คนแต่ละคนที่เราจะได้ไปอยู่ด้วย จะเป็นยังไง? เราจะได้ทำงานอะไรบ้าง?

ความสงสัยทั้งหมดทำให้เราเริ่มสนุกกับ 12 วัน ต่อจากนี้ซะแล้ว

นี่คือเรน ในภาพจะเห็นเหม่เหมมาแจมด้วย…ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะได้ค้นพบว่า

เหม่เหมมาแจมตลอดเกือบจะทุกกิจกรรมของเรา

หมินจงขอตัวกลับไปนอน

เกษตรกรที่นี่จะตื่นเช้ามากๆเพื่อออกไปทำงาน และจะกลับมานอนตอนกลางวัน ค่อยไปทำงานอีกทีตอนเย็น

พวกเราก็จะได้ขึ้นไปงีีบเหมือนกัน แต่ได้แค่ประมาณแป้บเดียวเพราะเดี๋ยวเพจจะพาออกไปร่วมกิจกรรมทำวุ้น

ตอนเที่ยงเพจตะโกนเรียกให้เราลงไปกินข้าวกลางวัน

มันคือ กับข้าวบ้านๆ ที่รอคอย….

ไม่มีแล้วโต๊ะจีน

ไม่มีแล้วงานแต่งงาน แบบที่เราเจอมาตลอดทุกมื้อ 10 วันที่ผ่านมา

เหมือนได้อยู่บ้าน ใช้ชีวิตปกติ

เพจทำกับข้าวเตรียมไว้ให้ เราลงมานั่งกินกันอย่างสงบสามคน สงสัยคนอืืนในบ้านคงกินกันเสร็จแล้ว

ถึงจะไม่ใช่โต๊ะจีน แต่ก็อร่อยมาก และไม่ต้องพยายามกินจนหมดด้วย ที่เหลือก็ตั้งไว้ที่เดิม

กินเสร็จก็ล้างจาน แล้วกลับขึ้นไปนอนพัก

เพจพาออกมาทำวุ้นตอนบ่ายสอง พร้อมกับตี่ตี๋ลูกชายคนกลาง และเหม่เหม

ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของFuliจะจัดกิจกรรมให้เด็กๆมาเรียนรู้แบบนี้เรื่อยๆ

เราสามคนก็มานั่งร่วมกับเด็กประถมอีกสองคน รวมกลุ่มทำวุ้นกัน

มีพนักงานหน้าละอ่อนชื่อเหลียง (คนไต้หวันแต่เกิดที่แอฟริกาใต้) มาคอยดูแลแนะนำเรา เพราะผู้สอนทำวุ้นและคนอื่นๆจะพูดเป็นภาษาไต้หวันหมด เหลียงจะคอยแปลให้

วุ้นที่ว่าคือวุ้นที่ทำจากมะเดื่อ หรือที่คนไทยเรียกว่าวุ้นกบที่ขายตามตลาดกลางคืน

วิธีทำก็แสนจะง่าย

  1. ใส่ถุงมือ เพื่อความสะอาด
  2. ขยี้เม็ดมะเดื่อในถุงผ้าขาวบางในน้ำ จะมีเมือกเหลืองๆออกมา
  3. และสุดท้าย ทิ้งไว้ให้เย็น

ผู้สอนบอกว่า กลุ่มเราทำได้เยี่ยมมาก ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ

ระหว่างพักวุ้นให้เย็น เหลี่ยงพาเดินชมรอบๆศูนย์

แล้วก็เดินไปถนนแถวนั้น เหลียงบอกว่าเขาเป็นทหารเกณท์(อ้อ ชุดที่ใส่อยู่คือชุดทหารรึเนี่ย) มาปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ คุยสนุกดี พอเดินผ่านร้านขายขนมชัยเลยเลี้ยงนมเค้ากล่องนึง

พอกลับมาห้องทำวุ้น วุ้นก็แข็งตัวแล้ว (ที่จริงมะกี้ที่มันหกที่โต๊ะ มันก็แข็งเป็นวุ้นแล้วอย่างเร็ว)

ใช้มีดตัดๆในหม้อชิ้นเล็กๆแบบไม่ต้องมีรูปทรง ตัดมั่วๆ แล้วราดน้ำมะนาว ก็กินได้เลย..

อร่อยและสดชื่นมากเลยทีเดียว ง่วงๆกันอยู่นี่ตื่นเลย

ตอนเย็นเพจบอกว่ามี activityการแชร์ข้อมูลของกลุ่มพวกเขา เลยให้เราไปด้วย

เหม่เหมก็มาด้วย

สถานที่ก็คือร้านกาแฟ Feng Chen บรรยากาศอบอุ่นๆ เพจแนะนำว่าเจ้าของร้านชื่อเนว

ตอนที่เราไปถึง ในร้านมีคนมานั่งกันเยอะแล้ว มีหลายคนที่เราก็เคยเจอแล้ว เช่น ไค เมียไค เรน หมินจง และบางคนที่แห่ไปรับพวกเราที่สถานีเมื่อคืนนี้

เค้าให้พวกเรานั่งโต๊ะหน้าสุดที่ติดกับหน้าจอฉายสไลด์ โดยมีเรนนั่งอยู่ด้วย

เรนคอยแนะนำให้คนแปลกหน้าอื่นๆให้รู้จักพวกเรา

โดยข้อมูลที่จะแนะนำก็มีเป็นเซตเหมือนเดิมทุกครั้ง ได้แก่ ชื่อ อายุ มีหรือไม่มีแฟน แต่งงานหรือโสด

ถ้ามีเวลาในการคุยมากหน่อย ก็จะเสริมอาชีพเข้าไปด้วย ว่าเราปลูกอะไรกัน

…ข้อมูลอาชีพนี่สำคัญน้อยกว่าสถานะความโสดอีกนะเนี่ย!!

คนใหม่ๆที่เราได้รู้จัก ก็เช่น ภรรยาของเนว ชื่อเหนียว …ชื่อช่างคล้ายกัน เราออกเสียงไม่ถูกเลย

ฝ่านฟ๊าน น้องชายของเนว หน้าเหมือนหลิวเต๋อหัว

ท่าทางแถวนี้จะมีญาติเนวเยอะมาก ละตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าคนไหนคือเนว

เปิดงานโดยการเริ่มชิมชีสกัน งงเหมือนกันว่าทำไมต้องชิมชีส ชิมไปเพื่อไร

ที่เราไม่รู้เรื่องก็เพราะเค้าพูดภาษาจีนกันตลอดนี่เอง

ตอนนั้นเราคิดว่า งานนี้เราสามคนจะได้ซึมซับบรรยากาศเท่านั้น ความเข้าใจเป็น 0

ชิมชีสไป จิบไวน์ไป ทุกคนเป็นเกษตรกร!!

ต่อมาก็มีผู้ชายคนนึงขึ้นมาเปิดสไลด์โชว์ พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่ตนเองและภรรยาได้นั่งรถไฟท่องเที่ยวของเกาะคิวชูที่ญี่ปุ่นมา

รถไฟขบวนนี้ชื่อว่า Seven Star มีความหมายว่า จะนั่งกันไป 7 วัน, ผ่าน 7 จังหวัด, 7 ประสบการณ์ใหม่

เค้าเห็นว่า การท่องเที่ยวแบบล่องรถไฟแบบนี้แปลกใหม่ น่าสนใจมาก เมื่อรถไฟผ่านเมืองต่างๆ ก็จะได้แวะเที่ยว ได้กินอาหารพื้นเมืองของแต่ละที่นั้นๆ อาหารที่กินบนรถไฟก็เป็นของแต่ละจังหวัด การตกแต่งจานชามก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นการแนะนำนักท่องเที่ยวผลิตภัณฑ์ของจังหวัดไปในตัว !!

รถไฟหยุดวิ่งตอนเที่ยงคืนประมาณ 3ชม. หยุดเสียงฉึกๆฉักๆ ให้แขกได้หลับสนิท

บรรยากาศและห้องพักในรถไฟดูหรูหราไฮโซมากเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องราคานั้น 300,000 jpy/คน !!

แพงเอาเรื่อง ดีนะที่เค้าเอาประสบการณ์มาแชร์ให้ฟัง เพราะเราคงไม่ได้นั่งแน่ๆ

แล้วรูปที่เอามาโชว์ ก็ถ่ายเก็บรายละเอียดมาเต็มที่ ตั้งแต่ภาพใหญ่ของขบวน ยันลูกบิดประตู

เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ

จริงๆเค้าอยากเอามาแชร์ให้คนในหมู่บ้านฟัง อาจจะมีประโยชน์ต่อการโปรโมทการเกษตรและการท่องเที่ยวของFuli ที่พวกเค้ากำลังพยายามทำอยู่พอดี

ถ้ามีใครซักคนเอาความรู้วันนี้ไปใช้ประโยชน์ การทุ่มเงิน 300,000เยนของเค้าก็คงคุ้มแล้วหล่ะ

ต้องขอบคุณเรนที่คอยแปลให้ฟังบางส่วน ทำให้พอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง

เรนบอกเราเมื่อเช้าว่า ตอนนี้กำลังเตรียมงานคอนเสิร์ตประจำปี เพื่อโปรโมทหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จักของเค้า…ทำกันเองในกลุ่มเกษตรหนุ่มสาว

นี่เป็นภาพของปีที่แล้ว

ทีแรกก็คิดนะว่า ฟังเค้าคุยกันไม่ออกเลย แล้วเราคงไม่ได้อะไรจากกิจกรรมวันนี้แน่ๆ นอกจากกินชีสฟรี

แต่จริงๆแล้วเราได้เยอะเลยแหละ

ภาพกิจกรรมวันนี้ บรรยากาศ การได้เห็นผู้ร่วมงาน ทำให้เราได้เข้าใจว่า Fuli มีเกษตรกรวัยรุ่นหลายคน ที่อยากกลับมาทำการเกษตรและอยากช่วยพัฒนาหมู่บ้านตัวเองจริงๆ พวกเค้ารวมกลุ่มกันมา รวมแรงรวมไอเดีย มาช่วยสร้างสรรค์พัฒนาชุมชน ไม่ว่าถ้าใครทำอาชีพไรก็ช่วยกันและกันได้

ตัวอย่างเช่น ไคเป็นสถาปนิกในไทเป ยังมาช่วยเพื่อนเกษตรกรออกแบบร้านกาแฟนี้เลย

ร้านเท่ห์มาก อบอุ่น พอเค้ามารวมตัวกันคุยอย่างมีสาระ และเฮฮากันแบบนี้ ยิ่งรู้สึกอบอุ่นเข้าไปใหญ่

ก็ต้องขอบคุณเรน ที่จัดให้เรามาร่วมกิจกรรมกับเค้าด้วย แม้จะฟังเค้าไม่ออกก็ตาม

พอหมดการแชร์ข้อมูล ก็นั่งคุยกันต่อ ยังมีชีสและแครกเกอร์เหลือให้เรานั่งกินจนตัวแตกกันต่อไป

ภรรยาของไคและเรนมาชวนเราคุย ถามเรามากมาย เช่น

“ทำอะไรที่ญี่ปุ่น? ทำอะไรที่โตโยต้า? แล้วทำไมถึงเลิกทำ?”

“ทำไมเค้าถึงเลือกเธอมา? เพิ่งปลูกเมล่อน1ปีเอง”

“ทำไมถึงมาทำการเกษตร?”

ภรรยาของไคพูดอังกฤษเก่ง เลยเล่าให้เราฟังได้ยืดยาวว่า การเกษตรที่นี่มันไม่ง่ายเลย อยู่หลังเขา ขนส่งลำบาก ทำงานแค่เช้าเย็น รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย คนที่นี่มีพื้นที่ตกคนละ 3 hectares ซึ่งไม่พอทำมาหากิน ต้องมีเยอะแบบหมินจงถึงจะพอ

เราก็เลยเล่าไปว่า

“เราเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ บริษัทเราดีจริงๆ คือถ้าคิดจะเป็นพนักงานบริษัท เราก็จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตนั่นแหละ แต่เรารู้สึกว่าอยากสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ไม่อยากเป็นพนักงานแล้ว และพอดีกับที่บ้านมีที่ดินที่มันปล่อยร้างไว้อยู่ ตายายและแม่ก็แก่แล้ว ไม่มีใครมาทำให้พื้นที่นี้มันเกิดประโยชน์ ในเมื่ออยากสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ก็ลองเริ่มจากที่ดินที่มีอยู่เลย เราชอบธรรมชาติ ลองมาทำการเกษตรก็น่าจะได้นะ จริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ดีมั้ย มันเหมือนเพิ่งเริ่มต้น เป็นการลองสิ่งใหม่ๆ”

เขาเล่าว่า เหมือนหมินจงเลย พ่อของหมินจงไม่สบายเอามากๆ ไม่มีใครทำนาต่อ หมินจงเลยลุกขึ้นมาทำ

คุยกันยาวนานมาก ห้าทุ่มกว่าก็ยังไม่เลิกคุย ชัยก็ไปคุยกะคนอื่น เล่าเรื่องสารพัดต้นไม้ที่ปลูก ต้นจาก ผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง ฯลฯ

พวกเราง่วงมาก เพลียหน่อยๆ รู้สึกวันนี้มันช่างยาวนาน หลายกิจกรรม

คนอื่นเขาไม่ง่วงกันหรืออย่างไร หรืออย่างที่เพจบอก เกษตรกรที่นี่นอนกลางวันกัน ตอนกลางคืนก็เลยคึก แต่กลางวันวันนี้เราไปทำวุ้นอยู่เลยไม่ได้นอน

แต่ก็คิดว่าขนาดเหม่เหมยังอยู่มาถึงตอนนี้ได้ เราก็ต้องอยู่ได้สิ!!

เราเริ่มสนใจในหมู่บ้านนี้ขึ้นมาซะละ เลยไปเปิด Wiki ดู

Nice Green Plant Factory

nicegreen

เป็นการปลูกพืชระบบ Plant factory ในตึกร้างที่ไม่ใช้งานแล้ว มีจำนวนห้องสำหรับปลูกพืชผัก จำนวนทั้งหมด 20 ห้อง (ห้องขนาด 70 ตารางเมตร) พื้นที่ 1 ห้อง สามารถปลูกได้ 8,000 ต้น แบ่งการดูแลเป็นโซนละ 6 ห้อง และในแต่ละโซนจะมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ในการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิ อากาศ คาร์บอนไดออกไซด์

ข้อดีของการแบ่งปลูกเป็นห้องเล็กๆ คือง่ายต่อการจัดการ การเก็บเกี่ยวผลผลิต และประหยัดพลังงานไฟฟ้า ในส่วนที่ไม่ได้ปลูกก็ปิดไฟทั้งหมด

IMG_7408

พืชที่ปลูก ได้แก่ กรีนโอ๊ค (Green Oak) เรดโอ๊ค (Red Oak) เรดคอรอล (Red Coral) การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว จะมีการตัดแต่งใบที่ไม่สมบูรณ์ออก และบรรจุในถุงพร้อมส่งผู้บริโภค

IMG_7409

แนวคิดของ Plant Factory คือ “Local to Local” หมายความว่า ผลผลิตพืชผักที่ได้จาก Plant Factory จะส่งขายภายในประเทศเท่านั้น อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้สร้าง Plant Factory ก็จะผลิตในประเทศทั้งหมด

ในเมืองไทเป ยังมีร้านอาหาร Nice green เป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ขายพืชผักที่ผลิตจากระบบ Plant factory มีชุดตัวอย่างแสดงการผลิตผักภายในร้านอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าผักที่ทานเข้าไปผลิตมาด้วยวิธีใด