Day4 Cilamitay นาข้าวบนดอยของชาวพื้นเมือง

ตอนเช้าว่างถึง10โมง

ชัยขี่มอไซค์แว๊นไปกับอาม่าแม่ของเพจ เพื่อไปดูแปลงปลูกผักของอาม่า แต่เรากะเปิ้ลไม่ได้ไป นั่งแพคกระเป๋าเตรียมออกจากที่นี่ เพื่อขึ้นไปอยู่กับชนเผ่าอะบอริจิ้นบนเขา

เนื่องจากไม่รู้อนาคตว่าที่พักเราจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า เมื่อวานเราเลยซักผ้าให้หมดทุกชิ้น

และเนื่องจากเราไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่ ไม่มีเวลามารอตากผ้าหลายรอบ เราเลยประหยัดเวลาด้วยการไม่แยกผ้าเลย ซักรวมกันหมดทุกชนิด แล้วน้องเปิ้ลก็จะซักพร้อมกันกับเราด้วย

“พี่ซักรวมหมดทุกอย่างเลยนะ ทั้งเสื้อ กางเกง ชุดชั้นใน ถุงเท้า” เราบอกเปิ้ลไว้ก่อน

“หนูไม่ถือ” ตึ่งงงง โดนใจ ไม่คิดว่าจะเจอคนไม่แคร์เรื่องแยกผ้าแบบเรา

สรุปว่าเป็นการซักทั้งเสื้อ กางเกง ชุดชั้นใน ถุงเท้า ของทั้งสองคนพร้อมกันในถังเดียว

รู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกันอะไรอย่างงั้นเลย

วันนี้เรนพาขนกระเป๋าสัมภาระ มาแวะที่โรงสีข้าวของเรนก่อน

ได้เจอป่ะป๊าเรนอีกรอบ กำลังนั่งชงชาอย่างปราณีตมากๆ และชวนพวกเราดื่มชาด้วย

1

หน้าตาป่ะป๊าจะนิ่งๆแต่เหมือนอมยิ้ม ค่อยๆชงอย่างชิลๆ นี่คือสโวไลฟ์ของจริง

ก่อนจะพาขึ้นเขา เรนมีธุระ นัดเจอกับเจ้าหน้าที่เกษตรของรัฐบาล เพื่อมาดูนาข้าวของเกษตรกรคนหนึ่ง

แล้วก็หิ้วเราสามคนติดสอยห้อยตามไปด้วย นาข้าวตรงนี้เขียวขจีสบายตามาก มีร่องน้ำคอนกรีตทันสมัย สะอาด ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไทย

IMG_9331IMG_9332

การที่เราติดสอยห้อยตามเรนไปนี่แหละ ได้เรียนรู้อะไรมากเลย

คือเรนเป็นหัวหน้ากลุ่มเกษตรกร มีเกษตรกรในกลุ่มอยู่ 40 คน พื้นที่นาข้าวทั้งหมดรวมได้ 340ไร่

เมื่อข้าวของคนใดในกลุ่มมีปัญหา เรนจะเป็นคนติดต่อเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาสำรวจ อย่างวันนี้ ก็เข้ามาจับแมลงที่ระบาดอยู่ไปส่องกล้องดูว่าเป็นตัวอะไร แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาบอกว่าต้องควบคุมยังไง

IMG_9329IMG_9324

ดีอ่ะ การที่มีคนคอยติดต่อระหว่างเกษตรกรกับรัฐบาลแบบเรน มันทำให้การทำเกษตรราบรื่นขึ้น มีปัญหาก็มีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดู ช่วยแก้ไขอย่างถูกวิธี และตรงจุด

ส่วนเรา ถ้าพบอะไรผิดปกติก็ดิ้นรนด้วยตัวเอง ไปsearchเอา หรือถามคนอื่นๆในเนต ซึ่งจริงๆแล้ววิธีแก้ไขที่เราsearchเจอมันจะถูกต้องแค่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่เวิร์คก็ลองวิธีอื่นไปเรื่อยๆ

แล้วเรนก็ขับรถขึ้นเขามา อธิบายว่าเราจะอยู่บนดอยนี้ 2 คืน อยู่กับแม่ของลัมลู ที่จริงเราเคยเจอลัมลูแล้วที่ร้านกาแฟในงานแชร์เรื่องรถไฟ เป็นผู้ชายอ้วนๆ เรนเรียกแม่ลัมลูว่าก่วงม้า เป็นชาวอะบอริจิ้น หรือชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของไต้หวัน

IMG_9355

เรนส่งเราที่บ้านของน้องสาวก่วงม๊า เค้าทำเป็นโฮมสเตย์ มีห้องนอนเหมือนห้องใต้หลังคา คือฝ้าห้องนอนจะเอียงๆ ห้องน้ำก้อใต้หลังคา เวลาอาบน้ำต้องยืนตรงจุดที่หลังคาสูงที่สุด ไม่งั้นก็ต้องนั่งยองๆอาบไปเลย

IMG_9356

เที่ยงๆก่วงม้าพาเดินไปกินข้าวที่บ้านเค้าเอง อยู่อีกหลังห่างไปประมาณ 300เมตร เป็นบ้านจริงๆ ไม่ได้ตกแต่งสวยเพื่อให้ใครมาพัก อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ริมลำธาร มีเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหลตลอดเวลา ที่ชอบคือหมอก ปกคลุมบนยอดเขาทุกทิศทาง ทุกทิศทางของเราตอนนี้เป็นภูเขา

IMG_9364IMG_9352

ไปถึงปั๊บก็กินข้าวที่ก่วงม้าทำไว้ให้ มีกับ2-3อย่าง ไม่เยอะเท่าบ้านเพจ แต่แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วล่ะ

จู่ๆก็คิดถึงชานมไข่มุกมาก อยู่บนดอยไม่มีให้กิน

ตั้งแต่หมินจงซื้อให้วันแรกนั้น เราก็ได้กินอีกทุกวัน จนติดแล้วเนี่ย

ก่วงม้ามีแมวชื่อลูลู่ และหมาชื่อหมาซื่อ

ตอนนี้ลัมลูไม่อยู่ ไปไทเป กลับมาพรุ่งนี้

ก่วงม้าจะเป็นผู้ปกครองเราตลอดสองวันนี้ เป็นแม่ที่ยังดูไม่แก่เลย ออกจะแข็งแรงเปรี้ยวเพีียวพ๊าว แต่งตัวสีสันมาก และที่สำคัญคือสกิลภาษาอังกฤษของก่วงม้านั้นเป็น 0

IMG_9466

แต่โชคดีที่ก่วงม้าไฮเทค ใช้สมาร์ทโฟนจึงใช้ google translateได้คล่อง ดังนั้นเราเลยคุยกันด้วยgoogleตลอดเกือบจะทุกคำ ก่วงม้าแทบไม่เคยพูดกับเราโดยตรง เขาจะพูดใส่มือถือ แล้วยื่นให้มือถือพูดกับเรา

ที่นี่ไม่มีWifi และสัญญาณ 4Gก็ไม่ค่อยชัด เราจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้ไปซักพัก และมีปัญหาในการใช้googleแปลด้วย เพราะแอพมันต้องใช้เนต

พอสัญญาณเนตอ่อนมันก็จะไม่ค่อยแปลให้ละ ชีวิตบนดอยมันก็เริ่มสนุกตรงนี้แหละ

เราได้ใช้ภาษาไต้หวันคำสั้นๆที่เคยจดจำมาก่อนหน้านี้มากขึ้นก็ตอนนี้แหละ

ห่าวซือ ห่าวเฮอ ห่าวหวาน

กินข้าวเสร็จก็นั่งคุยกันต่อ

ขนาดกับข้าวของก่วงม้าไม่เยอะมากมาย เราก็ยังกินไม่หมดอยู่ดี

น้องเปิ้ลบอกก่วงม้าว่าอิ่มแล้ว และบอกว่าอ้วนขึ้นมากตั้งแต่มาที่นี่

ก่วงม้ามองหุ่นเปิ้ล แล้วมือถือก่วงม้าบอกว่า “เธอไม่อ้วน ฉันไม่ชอบคนอ้วน เคยเห็นแบบลัมลูมั้ย”

ฮ่าๆๆ ก่วงม้าเป็นคนตลกพอสมควรเชียวล่ะ

แม้googleจะแปลคำพูดออกมาได้แบบทื่อๆไร้อารมณ์ เราก็รับรู้ได้ถึงความอารมณ์ดีของก่วงม้า

บ่ายสามวันนี้ก่วงม้าแพลนไว้ว่าจะพาเราไปถอนหญ้ากัน แต่ฝนดันตกเลยยกเลิก

ก่วงม้าดูกระอักอ่วนที่ต้องบอกเราว่าไม่มีอะไรทำตอนนี้ เราเลยบอกไปว่า

“ไม่เป็นไร พวกเราจะทำการบ้าน” ซึ่งก็คือการสรุปเนื้อหาดูงานที่ดินพอกหางหมูไว้ก่อนจะมาถึง Fuliนั่นเอง แค่นั้นก่วงม้าก็ทำหน้าโล่งอกขึ้นมาทันที แกคงกลัวพวกเราเบื่อที่ไม่มีไรให้ทำ

ตลอดบ่ายพวกเราเลยรวมตัวกันหน้าห้องนอน นั่งพื้นเปิดคอม แล้วสรุปทุกสิ่งอย่างที่ไปดูมาพร้อมพวกไข่เอินจนหมดสิ้น โล่งเลย ถึงเวลากินข้าวเย็นพอดี

มื้อเย็น มีญาติๆของก่วงม้าซึ่งเป็นชาวอะบอริจิ้นเหมือนกันมากินข้าวกับเราด้วย น่าตื่นเต้นมาก

ทีนี้เราได้ใช้googleให้แบตหมดกันไปข้างนึงเลย

ก่วงม้าชอบร้องเพลง พอสบโอกาสก็เปิดYoutubeขึ้นมาร้องโชว์ ไฮเทคมากมีไมค์Bluetoothด้วย!!

IMG_9373

ไมค์สีชมพูแวววาว พอไมค์ติดขัดก้ไม่เป็นไร เพราะก่วงม้ามีสำรองอีกหนึ่งอันค่ะ! ไม่ธรรมดาจริงๆคุณแม่ชาวพื้นเมืองคนนี้

“ถึงเวลาแล้ว ที่คุณต้องเรียนรู้ภาษาของพวกเรา” เสียงผู้หญิงในมือถือก่วงม้าบอกเรา

แล้วก็ทุกคนก็เริ่มสอนภาษาพื้นเมืองให้มากมาย เป็นภาษาของเค้านะ เราไม่สามารถเอาไปใช้ได้ตอนลงดอย

คำศัพท์ที่ก่วงม้าและญาติๆสอน ได้แก่

มาลานั่ม มาลาโฮ้ว มาลาฟิ = ข้าวเช้า ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น
มาฟูเต๊ะ = นอน
ง่ะอ้ายโฮ = หนีฮ่าวมา = สบายดีมั้ย (ก่วงม้าบอกว่าเอาไปทักทายลัมลูพรุ่งนี้นะ)
อะไร่ = เชี่ยๆ = ขอบคุณ
ฟันจ้าไร = ห่าวหวาน = สนุก
ง่ะอ๊าย่าย = very good
ชิมาลัย = สวย
มาลาซั่ม = เมา
มิมิเงิน = นิดนึง (ใช้ตอนกินเหล้า พูดว่ามิมิเงินนนน คือจิบๆ ไม่ต้องหมดแก้ว)

ก่วงม้าฉลาดมาก ที่สอนคำพวกนี้ เราจำกันได้หมดทันที และมันมีประโยชน์มากๆๆๆๆ

อย่างน้อยทุกครั้งที่จะนัดกินข้าว ก็ไม่ต้องใช้googleแล้ว

วงสนทนาหลังข้าวเย็นก็จบลงตอนห้าทุ่ม แยกย้ายไปมาฟุเต๊ะได้

กินข้าวกันจนดึกอีกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นราบหรืออยู่บนดอย ก็ยังคงต้องนั่งคุยเฉยๆหลังจากกินเสร็จอยู่ดี

นี่ขนาดเราไม่มีภาษาที่จะสื่อสารกับพวกเค้าได้นะเนี่ย!!

คืนนี้บนดอย เราได้ข้อคิดว่า Google translate เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำลายกำแพงระหว่างคนต่างชาติต่างภาษาได้อย่างแท้จริง

DCIM101GOPROGOPR7953.

One Comment

Leave a comment