Day1 นาข้าวของMinchung @Fuli

ตีห้าครึ่ง แต่ฟ้าสว่างแล้ว หมินจงขับรถเลี้ยวเข้ามาที่บ้านเพจ มารับตามเวลาที่บอกไว้แบบพอดีเป๊ะๆ

เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

พวกเรา3คน แยกจากเจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัย TARI ขึ้นรถไฟลงใต้มาจนถึง Hualien ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหาเราชานชาลา เราคิดว่าเขาจะเป็น Farmer A ที่อยู่ในกระดาษScheduleที่พกมาจากไทย

“ยินดีที่ได้รู้จัก เรนใช่มั้ย” เราถาม

เค้าส่ายหัว บอกว่า ไม่ใช่ๆ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อJack เรนให้มารับ

รับไปนั่งอยู่ข้างล่างสถานี ใจดีจัง ซื้อชานมให้กินด้วย แล้วบอกว่าเดี๋ยวอีกคนมารับ

..ผ่านไปครึ่งชม. ผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามา เราก็ทักทาย “หวัดดี นี่เรนใช่มั้ย”

คำตอบเหมือนเดิม ไม่ใช่ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อไค จะมารับเราไปอีกทอด

แล้วJackก็จากไป คือหน้าที่Jack มาเพื่อพาเราลงจากชานชาลามานั่งรอไคตรงนี้นั่นเอง

ไคพาพวกเราออกไปซื้อข้าวกล่องมานั่งกินหน้าสถานีเดิม อีกประมาณชั่วโมงกว่าเราถึงจะไปขึ้นรถไฟ

ระหว่างกินไคก็บอกว่า “เรนเค้ายุ่งมาก เลยให้มารับแทน”

แล้วถามว่าชื่อไรกันมั่ง กินอะไรไม่ได้มั่ง จะส่งไปบอกคนที่ต้องเตรียมอาหารให้เรา

(อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่นี่จริงๆ)

เมย์ แพ้แอลกอฮอล์

เปิ้ล กินทุกอย่างยกเว้นเนื้อ

ชัย แพ้ต้นหอมที่ยังไม่ผ่านการปรุงอาหาร (วันนี้ก็ดันไปชิมต้นหอมสดๆที่สวน TT)

ไคพาเรานั่งรถไฟกันไปอีกชั่วโมงกว่า ก็ถึงสถานี Chishang

ความจริงเมืองที่เราอยู่ชื่อว่า Fuli แต่สถานีFuliเล็กๆ รถไฟขบวนที่เรานั่งจะวิ่งผ่านไปเลย ไม่จอด เราเลยต้องลงที่นี่แล้วนั่งรถย้อนกลับไป

ที่นี่จะมีคนชื่อเรนมารับแล้วใช่มั้ยนะ

ทันทีที่ไปถึง ก็เจอคน7-8คนเข้ามารุมทักทายและช่วยถือกระเป๋า เห็นแววแล้วว่าเราคงได้รู้จักคนใหม่ๆอีกเพียบเลยที่นี่

มีผู้หญิงคนนึงชื่อว่าเพจ แนะนำว่าเดี๋ยวพวกเราจะไปพักที่บ้านเค้า

“เหนื่อยมั้ย เมื่อเช้าตื่นกันกี่โมง” เพจถาม

“ประมาณ 7โมง” เราตอบ เพจตกใจเล็กน้อย

เพจชี้ไปทางผู้ชายอีกคนที่ยืนข้างๆ แล้วบอกว่า ”พรุ่งนี้เขาจะพาเธอไปที่นาข้าวของเค้า ตีห้า โอเคมั้ย”

เราพร้อมใจกันตอบ “โอเค๊ๆๆๆ” เริ่มงานเช้ามากๆๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาปฏิเสธ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นรถ ชัยโดนดึงหายไปรถคันไหนก็ไม่รู้ ส่วนเรากะน้องเปิ้ลนั่งรถของเพจมา

เพจอายุ 35 ปี พาลูกสาวอายุ 1ขวบ8เดือนมารับเราด้วย เพจเรียกว่า เหม่เหม แปลว่าน้องสาว เพราะเค้ามีพี่ชายอีกสองคน

เราแอบคิดในใจว่า เด็กเก่งเนอะ ออกมาลุยกลางดึกแบบนี้กะแม่ได้ด้วย

หึๆ ต่อมาเราถึงรู้ว่า เหม่เหมทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอีกมากกก

ระหว่างนั่งรถ เพจถามพวกเราว่า อายุเท่าไหร่ มีแฟนมั้ย แต่งงานยัง

เมื่อถึงบ้านเพจ รถที่ชัยนั่งมาก็เข้ามาจอดด้วย

ก่อนจะขนกระเป๋าขึ้นห้องไปพักผ่อน ก็นัดหมายกันอีกรอบ ว่าตีห้าครึ่งพ่อหนุ่มที่ชัยนั่งรถมาด้วยมะกี้จะมารับเรา

เราถามเค้าว่า ชื่ออะไร

“หมินจง” เค้าตอบ

เราทวนชื่อเค้าอีกครั้ง เพื่อจะได้จำได้ หมินจงก็บอกว่า “Yeah yeah ” เป็นการบอกว่าเราออกเสียงถูกต้องแล้ว

หมินจงบอกว่า พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราใช้ app Google translate กันได้ แล้วก็เปิดแอพให้ดู

หมินจงทำหน้าดีใจ ประมาณว่ารอดตายแล้ว “Okay!!!!” ปกติเค้าก็ใช้เหมือนกัน

นี่คือภาพที่ถ่ายตอนพบกันที่สถานี

ตัดภาพกลับมาที่เช้าวันนี้ หมินจงกำลังขับรถพาเราออกไปทำงานกะเค้า

ตอนแรกก็พาไปที่บ้านของหมินจงก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นรถตู้เล็กๆที่ข้างหลังไม่มีเบาะนั่ง เอาไว้ขนของเท่านั้น

งานวันนี้คือจะไปใส่ปุ๋ยกัน หมินจงให้ชัยช่วยขนปุ๋ย และเครื่องพ่นปุ๋ยขึ้นรถตู้

ที่บ้านมีโรงเก็บของ เก็บปุ๋ย แต่จะมีโรงงานของเขาแยกไปอยู่อีกที่ (บ้านหมินจงมีรถยกด้วย)

หมินจงพาไปกินข้าวเช้าก่อนที่ร้านเล็กๆแถวบ้าน เป็นหัวไชเท้าผสมกับแป้ง ราดซอสดำๆ พร้อมด้วยแซนด์วิชก้อนใหญ่มากอีกคนละก้อน เรากินแค่ขนมหัวไชเท้าก็อิ่มมากละ เก็บแซนด์วิชไว้ก่อน

ระหว่างขับรถไปที่นา เรากะเปิ้ลนั่งข้างหลังเคียงข้างกระสอบปุ๋ย ให้ชัยนั่งหน้าคู่กับหมินจง

วิวระหว่างทางสวยมาก เต็มไปด้วยท้องนา ที่นี่คงจะเน้นปลูกข้าว แปลงของหมินจงห่างจากบ้านเค้าไปประมาณ 20 นาทีได้

ระหว่างทางก็ได้สอบถามประวัติกันไปมา (คุยกันด้วยGoogle translate ผสมภาษามือ)

หมินจงอายุ 24 เท่านั้น นาข้าวที่เรากำลังจะไปนี้ขนาด 18.75ไร่ และมีอีกแปลงอยู่ที่อื่น ขนาด 37.5ไร่

แต่ก่อนมีมากกว่านี้ แล้วขายไป หมินจงดูแลเองหมดเลย เป็นการปลูกข้าวแบบปกติ ยังไม่ใช่ข้าวออแกนิก

หมินจงจะหยิบอะไรบางอย่างจากกระปุกเล็กๆเหมือนกระปุกหมากฝรั่ง แล้วเอามาเคี้ยวๆตลอดเวลา เราสงสัยเลยชะโงกไปถามว่ากินไร

หมินจงบอกว่า “เป็นบุหรี่แบบเคี้ยว…”

บุหรี่แบบเคี้ยว?? เป็นครั้งแรกที่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย ไม่ต้องสูบให้เหม็นควัน ใช้เคี้ยวแทน

..แต่ห้ามกลืนนะ ต้องบ้วนออกมา

เราบอกไปว่า หมินจงหน้าเหมือนคนไทยมากๆ และไม่เหมือนชาวนาเลยด้วย…

ใช่…หมินจงเป็นชาวนา

หน้าตาน่ารักแบบนี้เหมือนเด็กฮิปฮอป หรือเด็กมหาลัยมากกว่า ..นี่ถ้าเอาหนวดออก จะดูเด็กมากเลยนะเนี่ย

งานอดิเรกชอบเล่นเบสบอล รูปในFacebookก็เป็นรูปตอนเด็กๆใส่ชุดเบสบอล จ้ำม่ำตั้งแต่เด็กเลย

เดี๋ยวเดือนหน้า (ต.ค. 2560) หมินจงจะไปเที่ยวพัทยากับเพื่อนๆด้วย

ถึงนาข้าว หมินจงพ่นปุ๋ยให้ดูเป็นตัวอย่าง ปกติจะมาใส่ปุ๋ย 1 ครั้ง ทุกๆ 2 อาทิตย์ ช่วยพ่อทำมาตั้งแต่อายุ 13ละ

ชัยเห็นหมินจงทำแล้วดูไม่ยาก เลยเสนอตัวช่วยทันที “ok i can , i help you”

ในที่สุดก็ถึงช่วงเวล่ที่ชัยรอคอยมาตลอด ที่ผ่านมาเนื่องจากภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เลยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามาลงมือทำงานกับเกษตรกรแล้ว น่าจะคล่องเลยล่ะ

ชัยจึงได้ลงไปลุยในแปลง แบกเครื่องพ่นสลับกับหมินจงคนละรอบ

หน้าที่ของพวกเราผู้หญิงก็คือ แกะกระสอบปุ๋ย ทุบๆปุ๋ยที่จับเป็นก้อนให้แตกๆแล้วกรอกใส่เครื่องพ่น

ตรงก้อนๆนี้สำคัญมาก เพราะมันจะไปอุดตันทำให้พ่นไม่ได้ ต้องบี้ให้ละเอียด

เปิ้ลบอก “งานหนักให้ผู้ชายทำ งานเบาให้ผู้ชายช่วย”

ระหว่างที่พ่นปุ๋ย หมินจงจะคอยสังเกตุสุขภาพต้นข้าวของตัวเองด้วย

แล้วมานั่งแกะใส้ต้นข้าวให้ดูว่านี่เป็นช่วงที่มันกำลังตั้งท้อง

หมินจงหันมาบอกพวกเราผ่านเสียงผู้หญิงจาก google translate

“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ”

ตอนนั้นเราสงสัยเหมือนกันนะ ทำไมกระทรวงเกษตรของไต้หวันถึงจัดให้เรามาอยู่ในเมืองที่คนส่วนใหญ่ปลูกข้าว ทั้งๆที่เรา3คน ก็ไม่มีใครปลูกข้าวซักคน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เริ่มจะเข้าใจละว่าเค้าให้เรามาเรียนรู้อะไร …มันไม่ใช่แค่เกษตรกรรมค่ะ

พอพ่นบริเวณนึงเสร็จ หมินจงจะขยับรถไปอีกนิดนึงเพื่อพ่นบริเวณถัดไป พักกินน้ำบ้างเป็นระยะ

จนทั่วแปลงก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็กลับบ้านหมินจงเพื่อไปอาบน้ำ หมินจงกับชัยเหงื่อท่วมตัว

ระหว่างทางกลับ หมินจงหันมาถามว่า ต้องการเจิงจูหน่ายชามั้ย

ทีแรกก็ฟังไม่ออกหรอก แต่ก็บ้าใบ้กันไปจนกระทั่งเข้าใจว่า…

อ๋อออ “เจิงจูหน่ายชา” คือชานมไข่มุก

หมินจงขับรถมาจอดหน้าร้านชานมบ้านๆร้านนึง ลงไปซื้อให้คนละแก้ว ถือดูดกินระหว่างทางไปบ้าน

…เฮ้อ..อร่อยจัง

และตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา นั่นคือคำศัพท์ตลกๆที่เราพูดทุกวัน วันละหลายๆรอบ

จนกระทั่งกลับมาแล้วเราก็ยังพูดอยู่

เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….

ทันทีที่ถึงบ้าน หมินจงพาเข้าไปดูในห้องเย็นที่เก็บข้าวเปลือก มีกระสอบข้าวใหญ่ๆตั้งอยู่เป็นสิบๆกระสอบ

กระสอบนึงมีข้าวเปลือกประมาณ 600kg กระสอบละประมาณ40,000NT$ ทะยอยขาย

หมินจงหยิบห่อข้าวห่อละ 2 kg ที่แพคพร้อมขายแล้วเอามาให้ดู แล้วพูดว่า

“My rice…” …ข้าวของฉัน

น่าเสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายวิดีโอโมเม้นท์นั้นไว้

มันเป็นหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนึงที่โคตรจะภูมิใจในข้าวที่ตัวเองปลูกมากับมือ

แต่ถึงเราจะไม่ได้ถ่ายVDOไว้ แต่เรามั่นใจว่าจะจำสีหน้านั้นไปได้อีกนาน

หมินจงให้ข้าวมาคนละห่อ ให้เราเอากลับมากินที่ไทยด้วย

แพคเกจนี้เขาออกแบบเอง

จากนั้นก็เข้าไปนั่งพักในบ้าน เจอแม่และน้องสาวของหมินจง พอหมินจงอาบน้ำล้างเหงื่อเสร็จก็พาเรากลับไปที่บ้านเพจกัน

เพจถามเราว่า “เธอไหวมั้ย หน้าดูเหนื่อยมาก อยากพักมั้ย”

เราว่าเราก็ไม่เหนื่อยอะไรเลยนะ ฮ่าๆๆ อาจจะแค่หน้าของคนที่นอนไม่พอเมื่อคืนนี้

ที่บ้านเพจ เราได้เจอผู้ชายอีกคนนึง มาอธิบายให้ฟังคร่าวว่า 12วัน 11คืน ที่อยู่ที่ Fuli นี่เราต้องไปนอนที่ไหนบ้าง

15,16,17,18 ก.ย. นอนที่บ้านเพจแห่งนี้
19,20 ก.ย. จะขึ้นไปอยู่นเขากับชาวพื้นเมือง(Aborigin)
21,22 ก.ย. ไปอยู่ที่Officeของเรน
23,24,25 ก.ย. ไปนอนที่ร้านกาแฟของเนว

โอเคค่ะ เราได้กำหนดการอนาคต 12วันนี้มาแล้ว แม้มันจะบอกแค่ที่นอนก็เถอะ เรายังไม่รู้อยู่ดีว่าทำอะไรบ้าง

แต่ที่รู้ๆคือ Farmer Aที่อยู่ในScheduleของเราทีแรกนั้น ไม่ใช่คนหนึ่งคน หากแต่เป็นกลุ่มเพื่อนเกษตรกรหนุ่มสาวที่ Fuli เมืองเล็กๆแห่งนี้ นำทีมโดยเรน ผู้ที่กำลังอธิบายเราอยู่นี่

(ในที่สุดเราก็ได้เจอเค้า!! ที่จริงเรนมารับเราที่สถานีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่ได้แนะนำตัวกัน)

คนแต่ละคนที่เราจะได้ไปอยู่ด้วย จะเป็นยังไง? เราจะได้ทำงานอะไรบ้าง?

ความสงสัยทั้งหมดทำให้เราเริ่มสนุกกับ 12 วัน ต่อจากนี้ซะแล้ว

นี่คือเรน ในภาพจะเห็นเหม่เหมมาแจมด้วย…ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะได้ค้นพบว่า

เหม่เหมมาแจมตลอดเกือบจะทุกกิจกรรมของเรา

หมินจงขอตัวกลับไปนอน

เกษตรกรที่นี่จะตื่นเช้ามากๆเพื่อออกไปทำงาน และจะกลับมานอนตอนกลางวัน ค่อยไปทำงานอีกทีตอนเย็น

พวกเราก็จะได้ขึ้นไปงีีบเหมือนกัน แต่ได้แค่ประมาณแป้บเดียวเพราะเดี๋ยวเพจจะพาออกไปร่วมกิจกรรมทำวุ้น

ตอนเที่ยงเพจตะโกนเรียกให้เราลงไปกินข้าวกลางวัน

มันคือ กับข้าวบ้านๆ ที่รอคอย….

ไม่มีแล้วโต๊ะจีน

ไม่มีแล้วงานแต่งงาน แบบที่เราเจอมาตลอดทุกมื้อ 10 วันที่ผ่านมา

เหมือนได้อยู่บ้าน ใช้ชีวิตปกติ

เพจทำกับข้าวเตรียมไว้ให้ เราลงมานั่งกินกันอย่างสงบสามคน สงสัยคนอืืนในบ้านคงกินกันเสร็จแล้ว

ถึงจะไม่ใช่โต๊ะจีน แต่ก็อร่อยมาก และไม่ต้องพยายามกินจนหมดด้วย ที่เหลือก็ตั้งไว้ที่เดิม

กินเสร็จก็ล้างจาน แล้วกลับขึ้นไปนอนพัก

เพจพาออกมาทำวุ้นตอนบ่ายสอง พร้อมกับตี่ตี๋ลูกชายคนกลาง และเหม่เหม

ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของFuliจะจัดกิจกรรมให้เด็กๆมาเรียนรู้แบบนี้เรื่อยๆ

เราสามคนก็มานั่งร่วมกับเด็กประถมอีกสองคน รวมกลุ่มทำวุ้นกัน

มีพนักงานหน้าละอ่อนชื่อเหลียง (คนไต้หวันแต่เกิดที่แอฟริกาใต้) มาคอยดูแลแนะนำเรา เพราะผู้สอนทำวุ้นและคนอื่นๆจะพูดเป็นภาษาไต้หวันหมด เหลียงจะคอยแปลให้

วุ้นที่ว่าคือวุ้นที่ทำจากมะเดื่อ หรือที่คนไทยเรียกว่าวุ้นกบที่ขายตามตลาดกลางคืน

วิธีทำก็แสนจะง่าย

  1. ใส่ถุงมือ เพื่อความสะอาด
  2. ขยี้เม็ดมะเดื่อในถุงผ้าขาวบางในน้ำ จะมีเมือกเหลืองๆออกมา
  3. และสุดท้าย ทิ้งไว้ให้เย็น

ผู้สอนบอกว่า กลุ่มเราทำได้เยี่ยมมาก ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ

ระหว่างพักวุ้นให้เย็น เหลี่ยงพาเดินชมรอบๆศูนย์

แล้วก็เดินไปถนนแถวนั้น เหลียงบอกว่าเขาเป็นทหารเกณท์(อ้อ ชุดที่ใส่อยู่คือชุดทหารรึเนี่ย) มาปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ คุยสนุกดี พอเดินผ่านร้านขายขนมชัยเลยเลี้ยงนมเค้ากล่องนึง

พอกลับมาห้องทำวุ้น วุ้นก็แข็งตัวแล้ว (ที่จริงมะกี้ที่มันหกที่โต๊ะ มันก็แข็งเป็นวุ้นแล้วอย่างเร็ว)

ใช้มีดตัดๆในหม้อชิ้นเล็กๆแบบไม่ต้องมีรูปทรง ตัดมั่วๆ แล้วราดน้ำมะนาว ก็กินได้เลย..

อร่อยและสดชื่นมากเลยทีเดียว ง่วงๆกันอยู่นี่ตื่นเลย

ตอนเย็นเพจบอกว่ามี activityการแชร์ข้อมูลของกลุ่มพวกเขา เลยให้เราไปด้วย

เหม่เหมก็มาด้วย

สถานที่ก็คือร้านกาแฟ Feng Chen บรรยากาศอบอุ่นๆ เพจแนะนำว่าเจ้าของร้านชื่อเนว

ตอนที่เราไปถึง ในร้านมีคนมานั่งกันเยอะแล้ว มีหลายคนที่เราก็เคยเจอแล้ว เช่น ไค เมียไค เรน หมินจง และบางคนที่แห่ไปรับพวกเราที่สถานีเมื่อคืนนี้

เค้าให้พวกเรานั่งโต๊ะหน้าสุดที่ติดกับหน้าจอฉายสไลด์ โดยมีเรนนั่งอยู่ด้วย

เรนคอยแนะนำให้คนแปลกหน้าอื่นๆให้รู้จักพวกเรา

โดยข้อมูลที่จะแนะนำก็มีเป็นเซตเหมือนเดิมทุกครั้ง ได้แก่ ชื่อ อายุ มีหรือไม่มีแฟน แต่งงานหรือโสด

ถ้ามีเวลาในการคุยมากหน่อย ก็จะเสริมอาชีพเข้าไปด้วย ว่าเราปลูกอะไรกัน

…ข้อมูลอาชีพนี่สำคัญน้อยกว่าสถานะความโสดอีกนะเนี่ย!!

คนใหม่ๆที่เราได้รู้จัก ก็เช่น ภรรยาของเนว ชื่อเหนียว …ชื่อช่างคล้ายกัน เราออกเสียงไม่ถูกเลย

ฝ่านฟ๊าน น้องชายของเนว หน้าเหมือนหลิวเต๋อหัว

ท่าทางแถวนี้จะมีญาติเนวเยอะมาก ละตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าคนไหนคือเนว

เปิดงานโดยการเริ่มชิมชีสกัน งงเหมือนกันว่าทำไมต้องชิมชีส ชิมไปเพื่อไร

ที่เราไม่รู้เรื่องก็เพราะเค้าพูดภาษาจีนกันตลอดนี่เอง

ตอนนั้นเราคิดว่า งานนี้เราสามคนจะได้ซึมซับบรรยากาศเท่านั้น ความเข้าใจเป็น 0

ชิมชีสไป จิบไวน์ไป ทุกคนเป็นเกษตรกร!!

ต่อมาก็มีผู้ชายคนนึงขึ้นมาเปิดสไลด์โชว์ พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่ตนเองและภรรยาได้นั่งรถไฟท่องเที่ยวของเกาะคิวชูที่ญี่ปุ่นมา

รถไฟขบวนนี้ชื่อว่า Seven Star มีความหมายว่า จะนั่งกันไป 7 วัน, ผ่าน 7 จังหวัด, 7 ประสบการณ์ใหม่

เค้าเห็นว่า การท่องเที่ยวแบบล่องรถไฟแบบนี้แปลกใหม่ น่าสนใจมาก เมื่อรถไฟผ่านเมืองต่างๆ ก็จะได้แวะเที่ยว ได้กินอาหารพื้นเมืองของแต่ละที่นั้นๆ อาหารที่กินบนรถไฟก็เป็นของแต่ละจังหวัด การตกแต่งจานชามก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นการแนะนำนักท่องเที่ยวผลิตภัณฑ์ของจังหวัดไปในตัว !!

รถไฟหยุดวิ่งตอนเที่ยงคืนประมาณ 3ชม. หยุดเสียงฉึกๆฉักๆ ให้แขกได้หลับสนิท

บรรยากาศและห้องพักในรถไฟดูหรูหราไฮโซมากเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องราคานั้น 300,000 jpy/คน !!

แพงเอาเรื่อง ดีนะที่เค้าเอาประสบการณ์มาแชร์ให้ฟัง เพราะเราคงไม่ได้นั่งแน่ๆ

แล้วรูปที่เอามาโชว์ ก็ถ่ายเก็บรายละเอียดมาเต็มที่ ตั้งแต่ภาพใหญ่ของขบวน ยันลูกบิดประตู

เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ

จริงๆเค้าอยากเอามาแชร์ให้คนในหมู่บ้านฟัง อาจจะมีประโยชน์ต่อการโปรโมทการเกษตรและการท่องเที่ยวของFuli ที่พวกเค้ากำลังพยายามทำอยู่พอดี

ถ้ามีใครซักคนเอาความรู้วันนี้ไปใช้ประโยชน์ การทุ่มเงิน 300,000เยนของเค้าก็คงคุ้มแล้วหล่ะ

ต้องขอบคุณเรนที่คอยแปลให้ฟังบางส่วน ทำให้พอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง

เรนบอกเราเมื่อเช้าว่า ตอนนี้กำลังเตรียมงานคอนเสิร์ตประจำปี เพื่อโปรโมทหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จักของเค้า…ทำกันเองในกลุ่มเกษตรหนุ่มสาว

นี่เป็นภาพของปีที่แล้ว

ทีแรกก็คิดนะว่า ฟังเค้าคุยกันไม่ออกเลย แล้วเราคงไม่ได้อะไรจากกิจกรรมวันนี้แน่ๆ นอกจากกินชีสฟรี

แต่จริงๆแล้วเราได้เยอะเลยแหละ

ภาพกิจกรรมวันนี้ บรรยากาศ การได้เห็นผู้ร่วมงาน ทำให้เราได้เข้าใจว่า Fuli มีเกษตรกรวัยรุ่นหลายคน ที่อยากกลับมาทำการเกษตรและอยากช่วยพัฒนาหมู่บ้านตัวเองจริงๆ พวกเค้ารวมกลุ่มกันมา รวมแรงรวมไอเดีย มาช่วยสร้างสรรค์พัฒนาชุมชน ไม่ว่าถ้าใครทำอาชีพไรก็ช่วยกันและกันได้

ตัวอย่างเช่น ไคเป็นสถาปนิกในไทเป ยังมาช่วยเพื่อนเกษตรกรออกแบบร้านกาแฟนี้เลย

ร้านเท่ห์มาก อบอุ่น พอเค้ามารวมตัวกันคุยอย่างมีสาระ และเฮฮากันแบบนี้ ยิ่งรู้สึกอบอุ่นเข้าไปใหญ่

ก็ต้องขอบคุณเรน ที่จัดให้เรามาร่วมกิจกรรมกับเค้าด้วย แม้จะฟังเค้าไม่ออกก็ตาม

พอหมดการแชร์ข้อมูล ก็นั่งคุยกันต่อ ยังมีชีสและแครกเกอร์เหลือให้เรานั่งกินจนตัวแตกกันต่อไป

ภรรยาของไคและเรนมาชวนเราคุย ถามเรามากมาย เช่น

“ทำอะไรที่ญี่ปุ่น? ทำอะไรที่โตโยต้า? แล้วทำไมถึงเลิกทำ?”

“ทำไมเค้าถึงเลือกเธอมา? เพิ่งปลูกเมล่อน1ปีเอง”

“ทำไมถึงมาทำการเกษตร?”

ภรรยาของไคพูดอังกฤษเก่ง เลยเล่าให้เราฟังได้ยืดยาวว่า การเกษตรที่นี่มันไม่ง่ายเลย อยู่หลังเขา ขนส่งลำบาก ทำงานแค่เช้าเย็น รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย คนที่นี่มีพื้นที่ตกคนละ 3 hectares ซึ่งไม่พอทำมาหากิน ต้องมีเยอะแบบหมินจงถึงจะพอ

เราก็เลยเล่าไปว่า

“เราเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ บริษัทเราดีจริงๆ คือถ้าคิดจะเป็นพนักงานบริษัท เราก็จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตนั่นแหละ แต่เรารู้สึกว่าอยากสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ไม่อยากเป็นพนักงานแล้ว และพอดีกับที่บ้านมีที่ดินที่มันปล่อยร้างไว้อยู่ ตายายและแม่ก็แก่แล้ว ไม่มีใครมาทำให้พื้นที่นี้มันเกิดประโยชน์ ในเมื่ออยากสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ก็ลองเริ่มจากที่ดินที่มีอยู่เลย เราชอบธรรมชาติ ลองมาทำการเกษตรก็น่าจะได้นะ จริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ดีมั้ย มันเหมือนเพิ่งเริ่มต้น เป็นการลองสิ่งใหม่ๆ”

เขาเล่าว่า เหมือนหมินจงเลย พ่อของหมินจงไม่สบายเอามากๆ ไม่มีใครทำนาต่อ หมินจงเลยลุกขึ้นมาทำ

คุยกันยาวนานมาก ห้าทุ่มกว่าก็ยังไม่เลิกคุย ชัยก็ไปคุยกะคนอื่น เล่าเรื่องสารพัดต้นไม้ที่ปลูก ต้นจาก ผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง ฯลฯ

พวกเราง่วงมาก เพลียหน่อยๆ รู้สึกวันนี้มันช่างยาวนาน หลายกิจกรรม

คนอื่นเขาไม่ง่วงกันหรืออย่างไร หรืออย่างที่เพจบอก เกษตรกรที่นี่นอนกลางวันกัน ตอนกลางคืนก็เลยคึก แต่กลางวันวันนี้เราไปทำวุ้นอยู่เลยไม่ได้นอน

แต่ก็คิดว่าขนาดเหม่เหมยังอยู่มาถึงตอนนี้ได้ เราก็ต้องอยู่ได้สิ!!

เราเริ่มสนใจในหมู่บ้านนี้ขึ้นมาซะละ เลยไปเปิด Wiki ดู

One Comment

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s