Nice Green Plant Factory

nicegreen

เป็นการปลูกพืชระบบ Plant factory ในตึกร้างที่ไม่ใช้งานแล้ว มีจำนวนห้องสำหรับปลูกพืชผัก จำนวนทั้งหมด 20 ห้อง (ห้องขนาด 70 ตารางเมตร) พื้นที่ 1 ห้อง สามารถปลูกได้ 8,000 ต้น แบ่งการดูแลเป็นโซนละ 6 ห้อง และในแต่ละโซนจะมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ในการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิ อากาศ คาร์บอนไดออกไซด์

ข้อดีของการแบ่งปลูกเป็นห้องเล็กๆ คือง่ายต่อการจัดการ การเก็บเกี่ยวผลผลิต และประหยัดพลังงานไฟฟ้า ในส่วนที่ไม่ได้ปลูกก็ปิดไฟทั้งหมด

IMG_7408

พืชที่ปลูก ได้แก่ กรีนโอ๊ค (Green Oak) เรดโอ๊ค (Red Oak) เรดคอรอล (Red Coral) การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว จะมีการตัดแต่งใบที่ไม่สมบูรณ์ออก และบรรจุในถุงพร้อมส่งผู้บริโภค

IMG_7409

แนวคิดของ Plant Factory คือ “Local to Local” หมายความว่า ผลผลิตพืชผักที่ได้จาก Plant Factory จะส่งขายภายในประเทศเท่านั้น อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้สร้าง Plant Factory ก็จะผลิตในประเทศทั้งหมด

ในเมืองไทเป ยังมีร้านอาหาร Nice green เป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ขายพืชผักที่ผลิตจากระบบ Plant factory มีชุดตัวอย่างแสดงการผลิตผักภายในร้านอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าผักที่ทานเข้าไปผลิตมาด้วยวิธีใด

Environmental friendly Farm of Vegetable

ฟาร์มของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ปลูกผักอินทรีย์และข้าวอินทรีย์ในเมือง Yilan เป็นจุดรวบรวมผักอินทรีย์จากสมาชิกอีก 35 ราย ก่อนจะนำไปจำหน่ายยังที่ต่างๆ

IMG_8579

รัฐบาลจะสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรโดยรับซื้อผลผลิตของกลุ่มเกษตรกรไปให้เด็กในโรงเรียนรับประทาน และที่เมือง Yilan ในทุกเดือนจะกำหนดให้มีวันกินผักอินทรีย์เพื่อกระตุ้นและประชาสัมพันธ์การบริโภคผักอินทรีย์

9

การผลิตข้าวของเกษตรกรจะปลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ดังนั้นจึงมีการเก็บรักษาคุณภาพข้าวให้สามารถจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี และให้ข้าวมีความสดใหม่น่ารับประทานโดยการเก็บรักษาข้าวเปลือกไว้ในห้องเย็นที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส

ที่นี่จะมีเครื่องสีข้าว สามารถสีข้าวแบบขัดผิวและไม่ขัดผิว มีเครื่องบรรจุสุญญากาศ

เกษตรกรมีการปลูกพืชแบบผสมผสานในโรงเรือน มีทั้งพืชผักและไม้ผล เช่น มีมะเดื่อฝรั่ง แก้วมังกร โดยมีแนวคิดว่าไม่ปลูกพืชชนิดเดียวปริมาณมาก แต่จะปลูกพืชให้มีความหลากหลายชนิดเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องราคาผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด

สำหรับการทำเกษตรอินทรีย์ในโรงเรือน หลังการเก็บเกี่ยวจะปล่อยให้ไก่เข้าไปกำจัดศัตรูพืชและวัชพืช โดยระยะเวลาในการปล่อยให้ไก่อยู่ในโรงเรือนนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนไก่และปริมาณอาหารที่ไก่สามารถกินได้ในโรงเรือน นอกจากนั้นยังมีผลพลอยได้จาก๘ไก่ ซึ่งจะกลายเป็นปุ๋ยให้พืชผักด้วย สามารถช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยได้มาก

8

การให้ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้จะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองจากรัฐบาล โดยรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณด้านเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรที่ผลิตพืชอินทรีย์และเข้าร่วมโครงการกับรัฐบาล ทางรัฐบาลจะช่วยออกค่าปุ๋ยส่วนหนึ่ง สามารถซื้อปุ๋ยอินทรีย์ได้ในราคากิโลกรัมละ 7 NTD จากราคาปกติกิโลกรัมละ 15 NTD (ถูกกว่าเกษตรกรที่ไม่เข้าร่วมโครงการ)

Oganic+Onion150917_๑๗๑๐๐๙_0051

นอกจากการสนับสนุนเรื่องปุ๋ยอินทรีย์แล้ว รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณ เรื่องเครื่องจักรกลทางการเกษตร และค่าใช้จ่ายในการขอใบรับรองเกษตรอินทรีย์อีกด้วย

เกษตรกรท่านนี้ได้ให้แนวความคิดกับการผลิตพืชอินทรีย์ว่า

“การทำเกษตรอินทรีย์เราต้องทราบปริมาณความต้องการของตลาด และผลิตให้เพียงพอกับความต้องการไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ควรผลิตในปริมาณที่สม่ำเสมอ เมื่อใดที่ผลิตเกินความต้องการของตลาดผลผลิตจะล้นตลาดส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำ”

 

Green Onion Production การปลูกต้นหอมใน Yilan

Yilan เป็นแหล่งปลูกต้นหอมที่มีชื่อเสียงและพื้นที่ปลูกมากที่สุดในประเทศไต้หวัน

IMG_8628

ที่นี่มีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกต้นหอม (Green onion) และมีศูนย์จำหน่ายผลผลิตของกลุ่มเกษตรกร โดยวิธีการปลูกของกลุ่มเกษตรกร Yilan จะปลูกแบบยกร่องสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้ต้นกล้าจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเนื่องจากมีความต้านทานเชื้อราได้ดี โดยจะปลูกต้นหอมลึกลงไปในดินประมาณ 15 เซนติเมตร

การปลูกต้นหอมลึกจะทำให้ลำต้นของต้นหอมมีสีขาวและยาวกว่าปกติ เนื่องจากคนไต้หวันนิยมบริโภคส่วนของลำต้นสีขาว ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่นิยมบริโภคส่วนใบสีเขียว
ที่ Yilan เป็นแหล่งปลูกที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน เนื่องจากได้ต้นที่ส่วนสีขาวยาวกว่าที่อื่นๆ

Oganic+Onion150917_๑๗๑๐๐๙_0026

ในการปลูกต้นหอมจะใช้ฟางข้าวคลุมบนแปลง ปกติเกษตรกรจะปลูกต้นหอมได้ 4 ครั้งต่อปี และสลับกับการปลูกข้าวอย่างละปี และนำฟางข้าวมาคลุมแปลงต้นหอมในรอบการผลิตถัดไป

IMG_8640

การปลูกต้นหอมในเมือง Yilan มีทั้งปลูกในโรงเรือนและนอกโรงเรือน ปลูกในโรงเรือนเพื่อกันลมและแมลง บางโรงเรือนจะมีแค่มุ้งด้านข้างเพื่อป้องกันลมอย่างเดียว เพราะที่ไต้หวันมีไต้ฝุ่นบ่อยๆ (ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะไม่มีไต้ฝุ่น)

ผลผลิตที่ได้ประมาณ 30 ตันต่อเฮกตาร์ (4.8 ตัน ต่อไร่) การเก็บเกี่ยวผลผลิตจะใช้แรงงานคน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตจากแปลงจะนำต้นหอมมาล้างน้ำและเก็บในห้องเย็นอุณหภูมิ 1 – 5 องศาเซลเซียส โดยจะมัดต้นหอมมัดละ 1 กิโลกรัม ส่งจำหน่ายทั่วประเทศไต้หวันราคากิโลกรัมละ 200 NTD

สวนผักออแกนิก Taoyuan

เยี่ยมชมสวนผัก ที่เป็นหนึ่งในสวนผักออแกนิกที่ส่งผักให้ Taoyuan City Farm Association

เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่นี่เป็นทุ่งรกร้างมานาน จึงไม่มีสารตกค้างในพื้นที่ เกาตรกรเจ้าของที่แห่งนี้คิดว่าเหมาะแก่การเพาะปลูกแบบออแกนิก จึงเริ่มลงทุนสร้างโรงเรือน ต้นทุนในการสร้างโรงเรือน โรงละประมาณ 60,000บาท ใช้เงินทุนในการก่อสร้างทั้งหมด 10ล้าน และค่าเครื่องมือ เครื่องจักรต่างๆอีก 2 ล้าน

ขนาดโรงเรือน 5×20 เมตร (100ตร.ม.) มีทั้งหมด 86 โรงเรือน มีคนทำงาน 8 คน (รวมเจ้าของ)

มีแผ่นพลาสติก PEดำ กั้นด้านข้างโรงเรือนบริเวณพื้น เพื่อไม่ให้มีการปนเปื้อนจากภายนอก และป้องกันดินไม่ให้ไหลออกมาด้านนอก บริเวณด้านนอกโรงเรือน มีการปูพื้นด้วย PEสีดำป้องกันวัชพืชที่เป็นที่สะสมของโรคและแมลงได้

การเพาะปลูก

25600914ออแกนนิก_๑๗๑๐๐๙_0039

ช่วงก่อนปลูกมีการกำจัดหญ้าวัชพืช โดยใช้ไฟเผาที่ความร้อน 700 องศา และเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วจะนำไก่เข้ามาช่วยเก็บกินเมล็ดพืชและแมลง ช่วยคุ้ยเขี่ยพรวนดิน แล้วยังได้ขี้ไก่มาเป็นปุ๋ยในดินด้วย

ที่นี่จะเพาะเมล็ดเอง เพราะไม่กล้าซื้อต้นกล้าจากที่อื่น เกรงว่าจะไม่ออแกนิกจริงๆ
ระบบน้ำเป็นแบบสเปรย์ด้านบน ไม่มีการให้น้ำบนพื้น
ในช่วงที่มีหญ้ารกร้าง จะใช้แรงงานคนมาถอนออก ไม่ใช้ยาใดๆ

IMG_8474

เครื่องให้ปุ๋ยที่สามารถจ่ายปุ๋ยได้ครั้งละ 100 กก.

1

ป้องกันและกำจัดแมลง

  • ใช้ BT
  • การปลูกพืชหมุนเวียนสลับไปในแต่ละโรง เพื่อตัดวงจรชีวิตแมลง ลดการสะสมโรค
  • ใช้กำดักกาวเหนียวในการดักแมลง

ผลผลิตของที่นี่จะขนส่งไปยังสหกรณ์(ซึ่งจะนำไปส่งต่อไปยังโรงเรียน)ด้วยรถเย็น และที่เหลือก็ส่งขายที่ Super Market ได้ราคากก.ละ 100 บาท

นอกจากนี้ ที่นี่ยังเปิดเป็นศูนย์ให้นักเรียนเข้ามาเรียนรู้การปลูก สาธิตให้เด็กใช้เครื่องมือต่างๆ วิธีการลงปลูก และยังเป็นที่อบรมของกลุ่ม Young Farmer

IMG_8497IMG_8542

Taoyuan City Farm Association สหกรณ์ผักอินทรีย์เพื่อโรงเรียน

Taoyuan City Farm Association เป็นกลุ่มสหกรณ์ผู้ผลิตผักอินทรีย์เพื่อส่งให้โรงเรียน และจำหน่ายภายในประเทศไต้หวัน

IMG_8464

มีสมาชิก 46 ราย พื้นที่ปลูกผักจำนวน 32.2 เฮกตาร์ โรงเรือน จำนวน 3,220 โรงเรือน

ทางกลุ่มจะรวบรวมผักจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิกเข้ามาคัดแยก ทำความสะอาด และตัดแต่งก่อนส่งไปจำหน่าย โดยโรงงานจะรับผักจากเกษตรกร 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประมาณ 45 ตันต่อสัปดาห์

ผักของทางกลุ่มมีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ กวางตุ้ง กะหล่ำ ผักบุ้ง ผักขมผักกาดขาว ฟักทอง และแรดิช (Radish) ผลผลิตจะออกตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวจะมีการปลูกผักพื้นบ้านแล้วแต่ฤดูกา สำหรับในช่วงไต้ฝุ่นเข้า จะมีการวางแผนการผลิตให้มีปริมาณมากกว่าช่วงอื่นๆ

คนชอบกินผักหลายแบบ เขาจึงต้องรวบรวมผักหลายชนิดมาขาย ที่สหกรณ์จะมีการวางแผนการปลูก ตามความต้องการของโรงเรียนต่างๆ และกำหนดไปว่าจะให้เกษตรกรปลูกอะไร เมื่อไหร่บ้าง

ที่โรงงาน จะมีเจ้าหน้าที่จำนวน 15 ราย แบ่งหน้าที่กันทำต่างๆกันไป ได้แก่

  • ควบคุมเกษตรกร ไปดูตามสวนต่าง 1 คน
  • จัดการเกี่ยวกับการส่งไปยังโรงเรียน 2 คน
  • ควบคุมpackaging 1คน
  • ตรวจสอบสารเคมี คุณภาพ 1 คน
  • ตัดแต่งผัก ล้างผัก ในโรงงาน 10 คน

ทุกๆสัปดาห์จะมีการสุ่มเช็ดคุณภาพของผลผลิตของเกษตรกรจำนวน 10 % จากเกษตรกรทั้งหมด

IMG_8459

ผลผลิตของทางกลุ่มได้รับมาตรฐาน GAP และอินทรีย์ มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าเป็นผลผลิตมาจากเกษตรกรคนไหน

ผลผลิตที่เข้าโรงงานนี้จะส่งไปที่โรงเรียนเท่านั้น สำหรับผลผลิตจากแปลงเกษตรกรที่เหลือจะส่งไปจำหน่ายที่อื่น ถ้ามีการตรวจพบสารเคมีตกค้าง จะหยุดรับผลผลิตจากเกษตรกรคนนั้น จะไม่มีการปรับ แต่จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม เกี่ยวกับการผลิตผักให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน

ขั้นตอนการจัดการผลผลิต

  1. นำผักที่มาจากเกษตรกรส่งเข้ามาในโรงงาน ใช้ตะกร้าสีน้ำเงิน และคัดคุณภาพโดยคน
    • IMG_8543
  2. นำมาเข้าเครื่องสับ
    • IMG_8446
  3. ล้างด้วยน้ำ 3 ขั้นตอนคือ ล้างดิน ล้างน้ำแรงๆเพื่อให้คราบที่ติดหนาแน่นออก และจึงล้างน้ำเย็น 4 องศา และพ่นด้วยน้ำคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้ออิโคไล และเป็นการลดกระบวนการออกซิเดชั่นของพืช
  4. เป่าลมและ คัดแยกสิ่งแปลกปลอมโดยคน
    • 4
  5. นำใส่ตะกร้าสีเขียว มีถุงพลาสติกห่อหุ้มผัก เตรียมส่งไปยังโรงเรียน ตะกร้าละ 20 kg
  6. นำไปเก็บในห้องเย็นเพื่อรอส่งในเช้าวันต่อไป ผลผลิตจะต้องถึงโรงเรียนก่อนตี 4 เนื่องจากโรงเรียนจะเริ่มทำอาหารในเวลา 6 โมงเช้า

จะมีเครื่องล้างตะกร้า ที่อุณหภูมิ –7องศา หลังจากการใช้งาน โดยมีตะกร้าสีน้ำเงิน ใช้สำหรับขนผักจากแปลงเกษตรกรมายังโรงงาน และตะกร้าสีเขียวสำหรับขนผักจากโรงงานไปยังโรงเรียน

5

ทางกลุ่มสหกรณ์จำหน่ายผลผลิตราคากิโลกรัมละ 75 NTD เกษตรกรจะได้รับเงินจำนวน 66 NTD จะจ่ายเงินให้เกษตรกรหลังจากรับผลผลิตมาแล้วประมาณ 7 – 10วัน ส่วนต่างของราคาจำหน่ายทางกลุ่มจะใช้ในการบริหารจัดการ

โครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตผักอินทรีย์เพื่อส่งเข้าโรงเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้รับประทานผักที่มีคุณภาพ ปลอดภัย โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าผักให้โรงเรียนกิโลกรัมละ 60 NTD และโรงเรียนจ่ายเองกิโลกรัมละ 15 NTD โดยคิดเป็นมูลค่าที่รัฐบาลสนับสนุนปีละ 50 ล้าน NTD

นอกจากนั้นทางกลุ่มเกษตรกร ก็มีการสอนและให้ความรู้เรื่องการผลิตพืชผักอินทรีย์ให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนด้วย

 

ข้อดีของระบบนี้คือ

  • โรงเรียนได้ผักที่ส่งมานี้จะสะอาด พร้อมปรุง (ล้างและหั่นเรียบร้อยจากโรงงาน ประหยัดแรงงานในโรงครัว)
  • เด็กได้กินผักที่ดี ปลอดภัยและสะอาดจากสวน
  • แก้ปัญหาสุขภาพของเมือง
  • ส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

โรงงานเห็ด Refung Mushroom farm

เป็นฟาร์มเห็ดที่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหน่วยงาน TARI (Taiwan Agricultural Research Institute)

ทำการเพาะเห็ดมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี เห็ดที่ผลิตปัจจุบัน คือ เห็ด King Oyster ทางฟาร์มจะจำหน่ายเห็ดสด ก้อนเห็ดพร้อมเปิดดอก และจำหน่ายก้อนเชื้อเห็ดที่เปิดดอกแล้วสำหรับทำปุ๋ยอินทรีย์

 

การผลิตเห็ด

วัสดุที่ใช้ทำก้อนเห็ด ประกอบด้วย ขี้เลื่อย รำข้าว แกนข้าวโพดป่น ปูนขาวเพื่อปรับ pH

IMG_8394

ขั้นตอน

  1. ตากแดดขี้เลื่อยเป็นระยะเวลา 3 เดือน จึงจะนำมาใช้ได้ และนำมาผสมในถังผสมขนาด 1 ตัน ต่อรอบกันผสม ผสมครั้งละ 50 นาที ใช้ขี้เลื่อย 70% มีการปรับ pH ให้เหมาะสม ซึ่ง King Oyster ชอบ pH =5.6
  2. นำขี้เลื่อยที่ผสมแล้ว นำมาบรรจุใส่ถุง ถุงละ 2 kg โดยใช้เครื่องมือแบบกึ่งอัติโนมัติ เมื่อกรอกขี้เลื่อยลงถุงแล้ว จะใช้แรงงานในการปิดฝาถุง จากนั้นจึงนำไปใส่ตะกร้า 10 ถุงต่อตะกร้าหนึ่งใบ หลังจากนั้นก็ผ่านเครื่องเจาะรูสำหรับใส่สปอร์ เจาะลงไปถึงกลางถุง จากนั้นจึงอุดด้วยสำลี และปิดตะกร้าด้วยแผ่นพลาสติกสีดำ นำไปวางบนชั้นเพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายเข้าสูงถังอบไอน้ำ
    • IMG_8400
  3. อบไอน้ำ ในถังี่มีท่อต่อมาจากเครื่องทำไอน้ำ อบที่อุณหภูมิมากกว่า 120องศา อบได้ครั้งละ 2ตัน  2,400 ถุง แล้วทิ้งไว้ให้เย็นลงมาที่ 25 องศา ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 6 ชม.
  4. ย้ายมาอีกห้องสำหรับเขี่ยเชื้อ
  5. ย้ายมาเก็บที่ห้องบ่มเชื้อ อุณหภูมิ 22 องศา ระยะเวลา 1 เดือน
    • IMG_8404
  6. ย้ายมาที่ห้องเปิดดอก อุณหภูมิ 20 องศา ความชื้นต่ำประมาณ 70% มีการตรวจสอบการเดินของเส้นใยต้องเต็มถุง ต้องมีคุณภาพที่ดี ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อ ถ้าติดเชื้อจะมีสีเขียวหรือดำก็จะนำออกไปทำลาย ระยะเวลา 1 อาทิตย์จึงจะออกดอก ในช่วงนี้จะมีการขายด้วย ก้อนเห็ดของที่นี่จะได้คุณภาพดีไม่มีการปนเปื้อน 95%
    • การวางก้อนเห็ด จะวางที่มุม 45องศาจากพื้น
    • IMG_8405
  7. ย้ายมาอีกห้อง ที่ลดอุณหภูมิลงมาที่ 16องศา ความชื้อสัมพัทธ์ 80% ปรับความชื้อโดยการสเปรน้ำจากด้านบน เก็บไว้ในห้องนี้ประมาณ 10 วัน ที่นี่ไม่มีปัญหาในการติดเชื้ออื่นด้านนอก เพราะมีการควบคุมความสะอาดอย่างดีทั่วบริเวณ และเห็ดของที่นี่จะแข็งแรง ไม่ติดเชื้อได้ง่ายๆ
    • IMG_8416
  8. ย้ายมาที่ห้องเก็บผลผลิตอีก 1 อาทิตย์ อุณหภูมิ 16 องศา ความชื้น 90% และเก็บผลผลิดเพียงแค่ครั้งเดียว 1 ก้อนสามารถเก็บผลผลิตได้ 250-280g ขนาดที่ได้จะยาวประมาณ 15 ซม.
  9. ย้ายมาที่ห้องคัดเกรด ซึ่งแยกเป็น 3 ขั้นตอนคือ
  10. ตัดแต่ง
  11. แยกขนาด แบ่งเป็น 4 เกรด A,B,C,D โดยเกรด A,B นำไปขายที่ Super market ส่วน C,Dขายตามโรงแรมและร้านอาหาร ตลาดทั่วไป
  12. บรรจุถุงให้ได้น้ำหนักถุงละ 1 กก.

ระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่บรรจุก้อนจนถึงเก็บเกี่ยว ระยะเวลา 2เดือน

หลังจากศึกษาดูงานที่ฟาร์มเห็ด Refung Mushroom farm ได้ศึกษาดูงานกลุ่มงานรับผิดชอบเรื่องการผลิตเห็ด ของหน่วยงาน TARI ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เห็ด แสดงตัวอย่างเห็ดชนิดต่างๆ พร้อมอธิบายสรรพคุณและการใช้ประโยชน์

IMG_8429

ในปี 2016 ประเทศไต้หวันมีการส่งออกเห็ดและมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 430 ล้าน NTD เห็ดที่สำคัญของประเทศไต้หวัน ได้แก่

  1. เห็ดชิตาเกะ
  2. King Oysters
  3. เห็ดเข็มทอง
  4. Oyster
  5. เห็ดหูหนู

ภายในศูนย์วิจัยของ TARI มีการวิจัยการเพาะเห็ด แบบ Plant factory โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะมีระบบควบคุมและมี Sensor ควบคุมสภาพอากาศภายในตู้ เชื่อมต่อและส่งข้อมูลไปที่โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปวิเคราะห์ได้ ด้านบนตู้คอนเทนเนอร์จะมีแผงโซล่าเซลล์สำหรับผลิตไฟฟ้าใช้ภายในตู้

DCIM101GOPROGOPR7482.

ข้อดีของการเพาะเห็ดแบบนี้ คือ สามารถเคลื่อนย้ายนำไปเผยแพร่ความรู้ให้เกษตรกรในพื้นที่ได้

IMG_8539

การควบคุมสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือน TARI

ที่ TARI (Taiwan Agricultural Research Institute) มีการศึกษาเกี่ยวกับโรงเรือนสำหรับปลูกพืชอยู่หลายๆแบบ และที่เราได้ไปดูกันมีดังนี้

โรงเรือนที่  1:

แบบหลังคาเปิดสองด้านระบายลม มีเครื่องวัดความเร็วลม เป็นการทดลองใช้พลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมเพื่อใช้ในโรงรือน มีท่อสายไฟฝังดินรอไว้ สำหรับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์รอบๆโรงเรือนเพื่อการทดลองในอนาคต

โรงเรือนมีหลังคาสองชั้น ชั้นนอกเป็นหลังคาจั่วคลุมด้วยพลาสติก เปิดปิดระบายอากาศแบบใช้มอเตอร์ เปิดได้กว้างตามต้องการ ชั้นในเป็นตาข่ายปรับแสง สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ ซึ่งมีสองชั้น คือ

  1. ตาข่ายพลางแสงในฤดูร้อน ไม่ให้แสงเข้าโรงเรือนมากไป
  2. ตาข่ายสีขาวสะท้อนแสง เพื่อเพิ่มแสงในโรงเรือน

IMG_8114

ภายในมีพัดลมติดไว้เป็นช่วงๆ เพื่อเป่าระบายอากาศ ด้านข้างเป็นตาข่าย 32 mesh

IMG_8300

รอบโรงเรือนมีกำแพงมุ้งสองชั้น เพื่อให้ลมไหลเวียน เมื่อมีแมลงตามเข้ามาชั้นแรก จะไม่ตามเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง

IMG_8279

มีประตู 2 อัน ประตูแรกสำหรับเครื่องจักรเข้าไปทำงาน ส่วนอีกประตูเอาไว้ให้คนเดินเข้าไป ประตูนี้จะมีทางเดินคดเคี้ยวเข้าไปหลายรอบก่อนจะถึงภายในโรงเรือน โดยด้านข้างจะคลุมด้วยแสลนสีดำ เพื่อไม่ให้แมลงบินตามคนเข้ามา แมลงจะไปเกาะตามแสลนสีดำด้านข้างแทน

IMG_8091

 

โรงเรือนที่2: โรงทดลองปลูกพืชต้านทานไวรัส เป็นพืชตระกูลแตงต่างๆ เช่น เมล่อน ฟักทอง

IMG_8308

วัสดุปลูกใช้พีทมอส ใส่บนกระบะเหล็กที่ยกสูงขึ้นมาจากพื้น และใช้กำมะหยี่เป็นวัสดุคลุมวัสดุปลูกอีกชั้น

การให้น้ำ ผ่านท่อน้ำวางใต้กระบะปลูก แล้วมีท่อเล็กๆสีดำต่อน้ำจากท่อหลักขึ้นมารดบนกำมะหยี่ เพื่อให้ชื้นทั่วถึง

IMG_8312

แก้วมังกร ของเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young farmer) ไต้หวัน

แก้วมังกร 9917_๑๗๑๐๐๙_0043

การศึกษาดูงานเรื่องการผลิตแก้วมังกร Yuh – Tay Farm เป็นแปลงของเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young farmer) ปลูกแก้วมังกรอายุประมาณ 3 ปี ตามมาตรฐาน GAP พันธุ์ที่ใช้ปลูกเป็นพันธุ์ของประเทศไต้หวัน ชื่อพันธุ์ Big Red เนื้อมีสีแดง ซึ่งเป็นสีที่มงคลทำให้สามารถขายได้ราคาดี ประมาณกิโลกรัมละ 80 – 100 NTD

แก้วมังกร 9917_๑๗๑๐๐๙_0042

พื้นที่ 1 เฮกตาร์ สามารถให้ผลผลิต 60,000 กิโลกรัมต่อรอบการผลิต (1 รอบการผลิตเวลาประมาณ 6 เดือน) ระยะปลูก ระยะระหว่างร่องประมาณ 200 เซนติเมตร ระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร

การปลูกใช้วิธีการปักชำโดยใช้ต้นพันธุ์ที่มีความยาวประมาณ 40 – 60 เซนติเมตร ปลูกลึกลงไปในดินประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร

Yuh – Tay Farm จะแบ่งแปลงปลูกแก้วมังกร ออกเป็น 2 โซน คือ โซนแปลงที่ปลูกแก้วมังกรที่ให้ผลผลิตในฤดู และนอกฤดู แต่แปลงจะให้ผลผลิตเป็นระยะเวลา 6 เดือน จากนั้นจะมีการพักต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน แก้วมังกร 1 กิ่งจะไว้ผล จำนวน 1 ผล โดยปกติแก้วมังกร 1 กิ่งจะให้ผลผลิตประมาณ 16 ผล แต่ทางสวนมีการพัฒนาคุณภาพผลผลิตจึงมีการไว้ผลสลับ เพราะฉะนั้น 1 กิ่ง จะให้ผลผลิตจำนวน 8 ผลเท่านั้น

หลังจากที่แก้วมังกรออกดอกเป็นระยะเวลา 30 วัน ผลแก้วมังกรจะเริ่มมีการเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีแดง การตัดแต่งกิ่งจะไว้กิ่งแต่ละกิ่งยาวจากลำต้นประมาณ 60 เซนติเมตร และไว้ต้นแขนงให้ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร เพื่อให้ธาตุอาหารต่างๆ เพียงพอในการเลี้ยงลำต้น และเป็นการช่วยเร่งการออกดอก

แก้วมังกร 9917_๑๗๑๐๐๙_0046

การทำผลิตแก้วมังกรนอกฤดู จะไม่ไว้ผลในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม และมีการเพิ่มแสงเพื่อยืดระยะเวลาในการออกผลให้ยาวออกไป โดยจะให้ผลผลิตในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผิตในตลาดมีจำนวนน้อย ราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ในบางครั้งถ้าอากาศหนาวเกินไปผลผลิตจะได้ไม่ถึง 3 ครั้ง

ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช คือ โรคแคงเกอร์ (Canker) โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) และโรครากเน่าในช่วงฤดูฝน มีการฉีดพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันโรคประมาณ 3 ครั้งต่อปี ประโยชน์ของการปลูกแก้วมังกรในโรงเรือน เพื่อให้ประหยัดแรงงานในการห่อผล ป้องกันแมลงวันผลไม้ที่มาเจาะผล และเมื่อต้นแก้วมังกรมีอายุประมาณ 10 ปี จะมีการรื้อแปลงและปลูกใหม่ เนื่องจากต้นที่แก่จะเกิดโรคได้ง่าย ปลูกไปแล้วประมาณ 10 ปีจะปลูกใหม่

แก้วมังกร 9917_๑๗๑๐๐๙_0020

การผลิตมะละกอของเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Farmer)ไต้หวัน

การศึกษาดูงานเรื่องการผลิตมะละกอ เป็นแปลงปลูกมะละกอในโรงเรือนของเกษตรกรที่เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Farmer) มีพื้นที่การเกษตรประมาณ 0.2 เฮกตาร์ รายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 500,000 NTD

IMG_7810

พันธุ์มะละกอที่ใช้ คือ สายพันธุ์ Tainung 2 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดย Taiwan Agricultural Research Institute, Council of Agriculture, Executive Yuan (TARI) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ก้านยาว ข้อดีของมะละกอที่มีก้านยาวนั้นจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากผลไม่เบียดกัน และมะละกอไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม (Non – GMO) ปลอดโรคจากเชื้อไวรัส เนื่องจากมีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

IMG_7811

ต้นกล้ามะละกอที่พร้อมจะลงปลูกในแปลงจะมีอายุประมาณ 6 เดือน ความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร มีใบ จำนวน 4 – 5 ใบ ราคาต้นกล้า 25 NTD ต่อต้น

สวนมะละกอ 90917_๑๗๑๐๐๙_0001

สวนมะละกอ 90917_๑๗๑๐๐๙_0056

สาเหตุที่เกษตรกรปลูกมะละกอในโรงเรือนตาข่ายเพื่อป้องกันผลกระทบจากไต้ฝุ่น และป้องกันเพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นพาหะนำโรคใบจุดวงแหวน (Papaya ring spot) ในพื้นที่ที่มีไต้ฝุ่นมากจะสร้างโรงเรือนที่มีความสูงประมาณ 4 เมตร ในบางพื้นไม่มากจะสามารถสร้างโรงเรือนสูงได้ถึง 5 เมตร

มะละกอจะมีอายุประมาณ 4 – 5 ปี โดยใน 1 ปี มะละกอจะให้ผลผลิตจำนวน 3 รุ่นๆ ละ 30 ลูก ระยะปลูก ปลูกมะละกอบนร่องแบบสลับฟันปลา ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.50 เมตร คลุมดินด้วยพลาสติก 2 ชั้น เพื่อรักษาความชื้น พลาสติกชั้นล่างจะเป็นสีดำและชั้นบนเป็นสีเทา

เนื่องจากประเทศไต้หวันได้รับอิทธิพลจากไต้ฝุ่นจึงจำเป็นต้องปลูกมะละกอในโรงเรือน แต่ด้วยมะละกอเป็นไม้ผลที่มีลำต้นสูงจึงมีการโน้มลำต้นให้เตี้ยลง การโน้มต้นจะทำให้ต้นเตี้ยลงไม่ชนหลังคาโรงเรือน ลำต้นที่เตี้ยจะลดแรงต้านลม และการโน้มต้นจะทำให้มะละกอออกดอกเร็วขึ้นด้วย

เมื่อต้นมะละกอสูงจนติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 1 จะมีการโน้มต้นมะละกอลงมา และเมื่อต้นมะละกอสูงติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 2 จึงตัดต้นมะละกอครึ่งต้นเพื่อให้มะละกอแตกใหม่ และเมื่อมะละกอสูงติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 3 ถอนต้นมะละกอออกทั้งหมดแล้วจึงปลูกมะละกอต้นใหม่ เมื่อปลูกมะละกอ 2 รอบ (8 – 10 ปี) จึงทำการรื้อแปลงและไถพลิกหน้าดิน ลึกประมาณ 2 เมตร

อุณหภูมิในโรงเรือนจะสูงกว่าภายนอกโรงเรือนประมาณ 4 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้มะละกอมีความหวานมากกว่าการปลูกนอกโรงเรือนประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ (% Brix) ความหวานของมะละกอที่ปลูกในโรงเรือนความหวานจะอยู่ที่ 13 – 15 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ (% Brix) พื้นที่ 1 เฮกตาร์ จะให้ผลผลิตประมาณ 100 ตันต่อรุ่น

วิธีการโน้มต้นมะละกอ

ชมคลิป https://youtu.be/-kwlSbQ4qUE

  1. กรีดลำต้นมะละกอตามแนวตั้งจำนวน 2 รอยให้ตรงข้ามกัน ตัดเนื้อเยื่อมะละกอด้านที่จะเอียงออก เพื่อให้สามารถเอียงต้นมะละกอได้สะดวก

2. จากนั้นดึงต้นมะละกอให้เอียงประมาณ 45องศา ใช้เชือกผูกยึดไว้กับลวดเหล็กเพื่อไม่ให้ต้นมะละกอล้ม

สวนมะละกอ 90917_๑๗๑๐๐๙_0040

3. ใช้ CaCo3 ผสมกับยาป้องกันเชื้อราทาบริเวณรอยกรีด เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อราและให้แผลมะละกอประสานกัน

 

 

สวนมะละกอ 90917_๑๗๑๐๐๙_0049

การให้น้ำใช้ระบบน้ำหยดภายในแปลงปลูกมะละกอมีเครื่องวัดความชื้นในดิน จำนวน 2 อัน วัดความชื้นที่ระดับความลึก 30 และ 60 เซนติเมตร การให้น้ำจะพิจารณาจากเครื่องวัดความชื้นในดินที่ระดับความลึก 30 เซนติเมตร เมื่อเครื่องมีความชื้นต่ำกว่า 30 กิโลปาสคาล (kPa) จะต้องมีการให้น้ำ ในฤดูร้อน จะให้น้ำทุก 3 – 4 วัน และในฤดูหนาวจะให้น้ำทุก 7 วัน

IMG_7819

การให้ปุ๋ยสูตร 20 – 20 – 20 จำนวน 3 ครั้งต่อเดือน ร่วมกับการให้น้ำด้วยระบบน้ำหยด การไว้ผลมะละกอจะมีการเด็ดดอกตัวผู้และดอกตัวเมียออก เหลือไว้แต่ดอกกะเทย เนื่องจากดอกกระเทยจะให้ผลที่มีความสมบูรณ์ เนื้อหนา เมล็ดน้อย ในแต่ละรุ่นจะมีการไว้ผลประมาณ 30 ผลต่อต้น ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชที่พบ คือ ไรแมงมุม (Spider mite) จัดการโดยใช้น้ำฉีด

IMG_7886.JPG

การผลิตพุทรา โดยกลุ่มเกษตรเมืองเกาชุง

IMG_7797

การศึกษาดูงานเรื่องการผลิตพุทรา กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตพุทราเมืองเกาชุง (Kaohsiung) เกิดจากการรวมกลุ่มของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพุทรา จำนวน 4 กลุ่ม มีสมาชิกทั้งหมด จำนวน 110 ราย พื้นที่ปลูกทั้งหมด จำนวน 40 เฮกตาร์ (250 ไร่)

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0031

IMG_7888

ต้นพุทราจะปลูกโดยการเพาะเมล็ดเพื่อจะได้ต้นพุทราที่มีรากแก้วที่สมบูรณ์แข็งแรง จากนั้นจึงใช้กิ่งพันธุ์ดีมีเสียบยอด การปลูกพุทราในเมืองเกาชุงส่วนใหญ่จะปลูกในโรงเรือนเพื่อลดความแรงของลมและฝน เพราะเมืองเกาชุงเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0013

สำหรับในช่วงเดือนที่พุทราออกดอก จะเปิดมุ้งตาข่ายด้านข้างของโรงเรือนเพื่อให้ผึ้งหรือแมลงที่ช่วยในการผสมเกสรเข้าไปในโรงเรือน โดยเกษตรกรจะมีการใช้กลิ่นน้ำหมักปลาในการล่อแมลงให้เข้าไปในโรงเรือน และเมื่อพุทราเริ่มติดผลจะปิดมุ้งตาข่ายลง

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0011

จะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคม และในช่วงเดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน จะเป็นช่วงบำรุงและจัดการแปลง และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม และจะตัดแต่งกิ่งในช่วงเดือนเมษายน

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0038

การทำพุทรานอกฤดูจะมีการเปิดไฟในช่วงเวลากลางคืน เพื่อเร่งให้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้นลง เนื่องจากแสงมีผลต่อระยะการเก็บเกี่ยวของพุทรา ส่วนใหญ่เกษตรกรจะเร่งให้พุทราสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดมีความต้องการผลผลิตมาก และมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 500 – 600 NTD ซึ่งพุทราที่ออกในช่วงปกติจะราคาประมาณ 100 – 150 NTD

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0054

เกษตรกรจะมีการปลูกพุทราต้นใหม่แซมระหว่างต้นพุทราต้นที่มีอายุมาก โดยในแปลงที่ศึกษาดูงานจะมีต้นพุทรา 2 รุ่น คือ พุทราที่มีอายุ 26 ปี และพุทราที่มีอายุ 3 ปี เมื่อต้นพุทราต้นใหม่เจริญเติบโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต จะทำการขุดต้นพุทราที่มีอายุมากออกจากแปลง

สวนพุทรา 90917_๑๗๑๐๐๙_0043

การให้น้ำ จะให้น้ำทุก 3 วัน ครั้งละ 10 นาที การใส่ปุ๋ย จะแบ่งใส่ปุ๋ยจำนวน 3 ระยะ คือ ระยะตัดแต่งกิ่ง ระยะติดตาดอก และระยะก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต

โดยในช่วงก่อนการเกี่ยวผลผลิตจะลดปริมาณการให้ปุ๋ยไนโตรเจนลง และเพิ่มการให้ปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม สูงกว่าช่วงอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหวาน

ความถี่ในการใส่ปุ๋ย คือ ใส่เดือนละ 1 ครั้ง อัตราการใส่ปุ๋ยจำนวน 40 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์

การตัดแต่งกิ่ง พุทราทุกต้นมีการเสียบยอดพันธุ์ดี โดยจะเว้นกิ่งตรงกลางของต้นไว้เพื่อใช้ในการผสมเกสรเท่านั้น และเมื่อเก็บผลผลิตออกไปแล้วในแต่ละรอบจะตัดกิ่งทิ้งเพื่อให้ยอดใหม่ขึ้นมา โดยจะตัดแต่งกิ่งที่อยู่เหนือบริเวณที่เสียบยอดและในระยะที่ติดต่อดอก 2 เดือน (พฤษภาคม – มิถุนายน) จะมีการตัดแต่งกิ่งเล็กน้อย ใน 1 ช่อดอก จะมีดอกประมาณ 20 – 30 ดอก จะมีการคัดดอกที่สมบูรณ์ไว้ประมาณ 7 – 8 ดอก และเมื่อติดผลจะคัดผลที่ดีสุดไว้เพยง 1 ผลต่อกิ่ง เพื่อให้ได้ผลที่สมบูรณ์ น้ำหนักประมาณ 200 กรัม ปัญหาโรคและแมลง เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้งขาว แอนแทรกโนส และในช่วงฤดูฝนจะพบโรครากเน่า

IMG_7799