ตื่นเจ็ดโมง เพราะไม่ต้องไปทำงานวันนี้
วันสุดท้ายที่ลืมตาขึ้นมาที่นี่ ใจหาย คิดถึงเวลาที่ผ่านมา คิดถึงความสนุกสนานที่นี่
ตอนที่เข้าไปสัมภาษณ์ที่กรมฯ มีคนถามว่า “สามารถทนแรงกดดันได้มั้ย ต้องไปอยุ่กับเกษตรกรนะ ถ้าเค้าตำหนิ ดุด่าขึ้นมา เธอจะควบคุมอารมณ์ได้มั้ย”
เฮ้ย มันไม่ใช่เลย อยู่ที่ Fuli ไม่ต้องควบคุมอารมณ์อะไรทั้งนั้น เราสนุกกับทุกสิ่งที่นี่
เรน เพจ ฟ่านฟ่าน ขับรถพาพวกเราออกไปกินข้าวเช้า เป็นแฮมเบอร์เกอร์ กุ้งกระเบื้องของไทย และขนมหัวไชเท้าของไต้หวัน ที่ทำให้นึกถึงอาหารแรกมื้อแรกที่กินที่นี่ หมินจงพาไปกินขนมหัวไชเท้านี้เหมือนกัน แล้ววันนั้นก็มีชานมด้วย
คนเรามักจะจำอะไรครั้งแรกได้
กินข้าวเสร็จกลับมาที่ร้านกาแฟ
ตอนประมาณ 10โมง เราได้รู้จักคนเพิ่มอีกคน ชื่อชาลีเป็นคนของรัฐที่มารับเราไปPingtung เพื่อเจอกลุ่มเกษตรกรดูงานอีกกลุ่มจากไทย เค้าก้ออธิบายกำหนดการของเราคร่าวๆวันนี้
นี่ขนาดชาลีเพิ่งมาเจอกับพวกเรนที่นี่วันแรก เค้าก้อคุยกัน หัวเราะกันอย่างสนิทสนม
เปิ้ลสรุปให้ว่า นิสัยคนที่นี่จะผสมเอานิสัยดีๆของแต่ละประเทศมารวมกัน
จู่ๆเรนก็บอกว่ามีงานต่อ ต้องไปแล้ว เราเลยลากันที่ร้านกาแฟนั่นเลย
จะไม่มีวันลืมรอยยิ้มอันร่าเริงและเปี่ยมด้วยความเป็นมิตรของเรนเลย
คนอะไร สามารถทำอะไรๆได้หลายอย่างขนาดนี้ แถมยังยิ้มร่าได้ตลอดเวลา ทั้งๆที่เราคิดว่ามันต้องเหนื่อยมากๆแน่
เรนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญทำให้เราอยากกลับขยันมากกว่านี้
เราไม่ควรบ่นว่ายุ่งอีกต่อไป อย่างเรานี่ยังไม่เรียกว่ายุ่งนะ ยุ่งจริงๆมันต้องแบบผู้ชายคนนี้
มันยังมีคนยุ่งกว่าเราอีกมาก และเค้าก็ทำอะไรๆได้ดีด้วย
พอใกล้ถึงเวลารถไฟ เพจ เมเม่และฟ่านฟ่านมาส่งถึงชานชาลาเลย
เพจบอกว่า หวังว่าจะเจอกันอีก ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน
จำคืนแรกที่เรานั่งรถของเพจจากสถานีรถไฟไปบ้านเค้า วันนั้นก็อุ้มเมเม่มาด้วยแบบวันนี้
นั่นคือ11วันที่แล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
ก่อนหน้านั้นเพจขี่มอไซค์ไปซื้อข้าวกล่องและชานมไข่มุกมาให้เราถือขึ้นรถไฟด้วย เพราะเราจะไม่ได้กินข้าวอีกจนกระทั่งเย็น ดูแลกันจนเฮือกสุดท้าย น้ำตาจะไหล
ขณะที่เราดูดชานมอย่างเอร็ดอร่อยและซาบซึ้งในน้ำใจ รถไฟก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีฟูลิ
บ้ายบายนะ เราอยากกลับมาอีกครั้งนะ ต้องสะสมเงินก่อน
นั่งรถไฟกันไป 3ชม. จึงจะถึงpingtung บนรถไฟเราก็ทะยอยเปิดดูวิดีโอที่ถ่ายมา จดเนื้อหาสำคัญๆที่ต้องเอามาเล่า
ทะยอยทำตั้งแต่ตอนนี้แหละ เพราะถ้าหมักหมมไว้ถึงวันที่กลับไทยไปแล้ว เราคงไม่ได้มีเวลาว่างแบบนี้
ถึงประมาณบ่ายสาม ไปดูฟาร์มปลูกมะระ แตงกวาในโรงเรือนกันเลย ฟิตมาก ดูกันจนถึง 18:30 รู้สึกชาลีพาเราไปใช้เวลาได้คุ้มค่ามาก
ชาลีตลกดี พอๆกับฟ่านฟ่าน แต่เป็นฟ่านฟ่านที่พูดอังกฤษได้คล่อง ทำให้เราได้คุยเยอะเลย
พูดเก่งอย่างกะเรน
มีการพูดเล่นกะพวกเราให้โดดลงบ่อปลาไปด้วย
ดูงานจบก็พามาส่งที่โรงแรม แล้วก็ร่ำลา
เฮ้ย เรากำลังสนุกสนานคุยกันถูกคอกับชาลีอยู่เลย ต้องลาจากกันซะละ ไม่ใช้หน้าที่เค้าต้องดูแลเราต่อจากนี้แล้ว นี่ขนาดเจอกันครึ่งวันเท่านั้น ชาลีทำหน้าเศร้าแบบเว่อมาก เป็นคนตลกอ่า
ย้ายจากทุ่งนา มายังป่าคอนกรีต
เช็คอินเข้าไปเก็บของที่ห้องเสร็จ ก็ออกไปหาซื้อกระเป๋าลากเรย โชคดีที่ห้างsogoที่เรนแนะนำอยู่ไม่ไกล
ซื้อเสร็จก็ลากกระเป๋าเปล่าๆไปกินแม็คฯ
นี่เปนครั้งแรกที่ต้องหากินเอง ตั้งแต่มาไต้หวัน ก็มีคนเรียกไปกินข้าว หาข้าวให้กินตลอด
แล้วลากกระเป๋าไปต่อที่อีกห้าง เพื่อให้เปิ้ลซื้อเสื้อกันUVของ Uniqlo อาจจะช้าไปซักนิดที่มาซื้อเสื้อกันUVกันตอนอาทิตย์สุดท้ายนี้ แต่อย่างน้อย 7 วันที่ต้องไปดูงานตามที่ต่างๆก็จะได้ไม่ดำขึ้นไปอีก
เรากับพวกเพื่อนไต้หวันเริ่มรักษาความสันพันธ์ไม่ให้ขาดรอนตั้งแต่วันนี้เลย Line VDO Call ช่วยพวกเราได้
ระหว่างเดินไปห้างSogo เรน vdo call มา
ระหว่างกินแม็ค ก่วงม้าก็ vdo call มา
ระหว่างรอเปิ้ลซื้อเสื้อ เรากะชัยโทรหาหมินจง
คนที่นี่คุย VDO Callกันบ่อยจริงๆ
ตอนคุยVDO Call กับก่วงม๊า ใช้ google translate ไม่ได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอันใด
ยังได้ยินมาว่าคาสู้โทรหาชัยตอนดึกๆด้วย ทั้งๆที่คาสู้พูดอังกฤษไม่ได้
แค่เห็นหน้าและพูดคำที่รู้อยู่ไม่กี่คำซ้ำๆ เช่น สวัสดี อาหารเย็น อร่อย
แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้ว ที่จะทำให้พวกเราไม่ลืมกันแล้ว
[…] Day11 From Fuli to Pingtung […]
LikeLike