การศึกษาดูงานเรื่องการผลิตมะละกอ เป็นแปลงปลูกมะละกอในโรงเรือนของเกษตรกรที่เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Farmer) มีพื้นที่การเกษตรประมาณ 0.2 เฮกตาร์ รายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 500,000 NTD

พันธุ์มะละกอที่ใช้ คือ สายพันธุ์ Tainung 2 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดย Taiwan Agricultural Research Institute, Council of Agriculture, Executive Yuan (TARI) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ก้านยาว ข้อดีของมะละกอที่มีก้านยาวนั้นจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากผลไม่เบียดกัน และมะละกอไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม (Non – GMO) ปลอดโรคจากเชื้อไวรัส เนื่องจากมีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

ต้นกล้ามะละกอที่พร้อมจะลงปลูกในแปลงจะมีอายุประมาณ 6 เดือน ความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร มีใบ จำนวน 4 – 5 ใบ ราคาต้นกล้า 25 NTD ต่อต้น


สาเหตุที่เกษตรกรปลูกมะละกอในโรงเรือนตาข่ายเพื่อป้องกันผลกระทบจากไต้ฝุ่น และป้องกันเพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นพาหะนำโรคใบจุดวงแหวน (Papaya ring spot) ในพื้นที่ที่มีไต้ฝุ่นมากจะสร้างโรงเรือนที่มีความสูงประมาณ 4 เมตร ในบางพื้นไม่มากจะสามารถสร้างโรงเรือนสูงได้ถึง 5 เมตร
มะละกอจะมีอายุประมาณ 4 – 5 ปี โดยใน 1 ปี มะละกอจะให้ผลผลิตจำนวน 3 รุ่นๆ ละ 30 ลูก ระยะปลูก ปลูกมะละกอบนร่องแบบสลับฟันปลา ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.50 เมตร คลุมดินด้วยพลาสติก 2 ชั้น เพื่อรักษาความชื้น พลาสติกชั้นล่างจะเป็นสีดำและชั้นบนเป็นสีเทา
เนื่องจากประเทศไต้หวันได้รับอิทธิพลจากไต้ฝุ่นจึงจำเป็นต้องปลูกมะละกอในโรงเรือน แต่ด้วยมะละกอเป็นไม้ผลที่มีลำต้นสูงจึงมีการโน้มลำต้นให้เตี้ยลง การโน้มต้นจะทำให้ต้นเตี้ยลงไม่ชนหลังคาโรงเรือน ลำต้นที่เตี้ยจะลดแรงต้านลม และการโน้มต้นจะทำให้มะละกอออกดอกเร็วขึ้นด้วย
เมื่อต้นมะละกอสูงจนติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 1 จะมีการโน้มต้นมะละกอลงมา และเมื่อต้นมะละกอสูงติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 2 จึงตัดต้นมะละกอครึ่งต้นเพื่อให้มะละกอแตกใหม่ และเมื่อมะละกอสูงติดหลังคาโรงเรือนครั้งที่ 3 ถอนต้นมะละกอออกทั้งหมดแล้วจึงปลูกมะละกอต้นใหม่ เมื่อปลูกมะละกอ 2 รอบ (8 – 10 ปี) จึงทำการรื้อแปลงและไถพลิกหน้าดิน ลึกประมาณ 2 เมตร
อุณหภูมิในโรงเรือนจะสูงกว่าภายนอกโรงเรือนประมาณ 4 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้มะละกอมีความหวานมากกว่าการปลูกนอกโรงเรือนประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ (% Brix) ความหวานของมะละกอที่ปลูกในโรงเรือนความหวานจะอยู่ที่ 13 – 15 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ (% Brix) พื้นที่ 1 เฮกตาร์ จะให้ผลผลิตประมาณ 100 ตันต่อรุ่น
วิธีการโน้มต้นมะละกอ
ชมคลิป https://youtu.be/-kwlSbQ4qUE
- กรีดลำต้นมะละกอตามแนวตั้งจำนวน 2 รอยให้ตรงข้ามกัน ตัดเนื้อเยื่อมะละกอด้านที่จะเอียงออก เพื่อให้สามารถเอียงต้นมะละกอได้สะดวก
2. จากนั้นดึงต้นมะละกอให้เอียงประมาณ 45องศา ใช้เชือกผูกยึดไว้กับลวดเหล็กเพื่อไม่ให้ต้นมะละกอล้ม

3. ใช้ CaCo3 ผสมกับยาป้องกันเชื้อราทาบริเวณรอยกรีด เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อราและให้แผลมะละกอประสานกัน

การให้น้ำใช้ระบบน้ำหยดภายในแปลงปลูกมะละกอมีเครื่องวัดความชื้นในดิน จำนวน 2 อัน วัดความชื้นที่ระดับความลึก 30 และ 60 เซนติเมตร การให้น้ำจะพิจารณาจากเครื่องวัดความชื้นในดินที่ระดับความลึก 30 เซนติเมตร เมื่อเครื่องมีความชื้นต่ำกว่า 30 กิโลปาสคาล (kPa) จะต้องมีการให้น้ำ ในฤดูร้อน จะให้น้ำทุก 3 – 4 วัน และในฤดูหนาวจะให้น้ำทุก 7 วัน

การให้ปุ๋ยสูตร 20 – 20 – 20 จำนวน 3 ครั้งต่อเดือน ร่วมกับการให้น้ำด้วยระบบน้ำหยด การไว้ผลมะละกอจะมีการเด็ดดอกตัวผู้และดอกตัวเมียออก เหลือไว้แต่ดอกกะเทย เนื่องจากดอกกระเทยจะให้ผลที่มีความสมบูรณ์ เนื้อหนา เมล็ดน้อย ในแต่ละรุ่นจะมีการไว้ผลประมาณ 30 ผลต่อต้น ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชที่พบ คือ ไรแมงมุม (Spider mite) จัดการโดยใช้น้ำฉีด
